Please use this identifier to cite or link to this item: https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/2678
Title: มทร.ล้านนา บุกเบิกอาชีวะพันธุ์ใหม่-บัณฑิตพันธุ์ใหม่
Authors: เดลินิวส์
Keywords: เดลินิวส์
Issue Date: 2562
Publisher: เดลินิวส์
Abstract: พูนทรัพย์ ทองทาบ "โครงการผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่ และบัณฑิตพันธุ์ใหม่" ถือเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ ที่ต้องการจะสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง สำหรับอุตสาหกรรม New Growth Engine ตามนโยบาย Thailand 4.0 และการปฏิรูปการอุดมศึกษาไทย ที่สำคัญมีเป้าหมายที่จะผลิตบัณฑิตในสาขาที่เป็นความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยให้สถานประกอบการเข้ามาร่วมจัดการเรียนการสอน และร่วมประเมินผลกับสถาบันการศึกษา เพื่อให้ได้คนตรงกับความต้องการ และสามารถทำงานได้ทันทีเมื่อจบการศึกษา ที่ผ่านมาจะเห็นว่าสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่จะต่างคนต่างผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่ และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ซึ่งอาจจะทำให้ผลผลิตที่ออกมายังไม่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการมากนัก แต่ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ล้านนา จะแตกต่างจากที่อื่นและถือเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกที่นำโครงการผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่ และบัณฑิตพันธุ์ใหม่มาผสมผสานกัน ส่วนจุดเริ่มต้นการจัดการเรียนการเรียนสอนดังกล่าวมีที่มาอย่างไรนั้น เราไปคุยกับ ผศ.ดร.นิวัตร มูลปา รองอธิการบดีฝ่ายนโยบายและพัฒนาระบบ มทร.ล้านนา ผู้บุกเบิกเรื่อง นี้กัน ผศ.ดร.นิวัตร เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ปี 2550 ได้เริ่มทำโครงการโรงเรียนในโรงงาน (School in Factory : SiF)หรือการจัดการศึกษาแบบบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน (Work- integrated Learning : WiL) ซึ่งเป็นการจัด การศึกษาร่วมระหว่างภาครัฐคือ สำนักงาน คณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ภาคเอกชนคือสยามมิชลิน และภาคการศึกษาคือ มทร.ล้านนา ซึ่งผลผลิตที่ออกมาเป็นที่ต้องการของสถานประกอบการอย่างมาก เพราะจบการศึกษาแล้วเด็กทุกคนสามารถทำงานได้ สถานประกอบการไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาอบรมให้อีก ล่าสุด ปี 2561 มทร.ล้านนาได้เข้าร่วมโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ พอขึ้นปีที่ 2 มทร.ล้านนา ได้นำอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่มาผสมผสานกัน โดยหวังให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นต้นแบบให้แก่ประเทศ ที่สำคัญบทบาทของ มทร.ล้านนา พยายามพัฒนากำลังคนสายวิชาชีพหรือสายอาชีพที่เริ่มต้นมาจากอาชีวะและต่อเข้ากับอุดมศึกษาของราชมงคล ผศ.ดร.นิวัตร เล่าอีกว่า ที่ผ่านมาหลายคนถามว่าการจัดการเรียนร่วมกับภาคเอกชนทำง่ายหรือไม่ และจะบรรลุเป้าหมายหรือทำให้นโยบายของรัฐเป็นจริงมากขึ้นขนาดไหน ก็คงตอบได้เลยว่าการทำงานร่วมกับภาคเอกชนไม่ได้ยาก เพียงแค่เรารู้ถึงความต้องการของภาคเอกชนว่าต้องการอะไร และภาคเอกชนเห็นความคุ้มค่าของการลงทุน เราก็จะทำงานร่วมกับภาคเอกชนได้ สุดท้ายต่างคนต่างได้ประโยชน์หรือวินวินกันทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้การทำงานจะต้องใช้การบริหารด้วยโครงการเป็นจุดเริ่มต้น พอทำงานได้ระยะหนึ่งโครงการก็จะเริ่มผันตัวเองไปเป็นงานประจำ และจะมีทีมงานใหญ่ขึ้นที่จะมาร่วมทำงาน ที่สำคัญต้องพัฒนาตัวเอง ต้องสร้างเครือข่าย และขยายผล เชื่อว่างานน่าจะบรรลุนโยบายรัฐบาล แต่ต้องใช้เวลา เพราะเราต้องเปลี่ยนคนให้อยู่ในระบบ หรือสร้างคนรุ่นใหม่ผสมกันขึ้นไปให้กับระบบใหม่ที่เราสร้าง อาจารย์อำนวย คำบุญ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.ล้านนาเชียงราย บอกว่า มทร.ล้านนา ร่วมกับวิทยาลัยการอาชีพเชียงราย และบริษัท เบญญาแทรกเตอร์ จ.น่าน จัดโครงการอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่โดยมีนักศึกษารุ่นแรก ปีการศึกษา 2562 จำนวน 22 คน ส่วนการเรียนการสอนช่วง 2 เดือนแรก จะให้นักศึกษาไปปรับพื้นฐานที่ มทร.ล้านนาดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ จากนั้นจะมาเรียนพื้นฐานวิศวกรรมศาสตร์ ที่ มทร.ล้านนาเชียงราย 1 เทอม เมื่อนักศึกษาปิดภาคเรียนก็ย้ายการเรียนการสอนมาที่ บริษัท เบญญาแทรกเตอร์ จ.น่าน มีครูพี่เลี้ยง 2 คนคอยดูแลในเรื่องการปฏิบัติงานของเด็ก และจะมีอาจารย์ 1 คนมาสอนวิชาการทางด้านวิศวกรรม ศาสตร์ในโรงเรียนโรงงานด้วย ซึ่งการเรียนรูปแบบนี้จะทำให้สถาบันการศึกษาไม่ต้องลงทุนเกี่ยวกับครุภัณฑ์ เครื่องมือในการฝึกปฏิบัติต่าง ๆ เพราะสถานประกอบการมีให้อยู่แล้ว ส่วนเด็กที่จบจากโครงการนี้จะได้ 3 เด้ง คือวุฒิการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จากวิทยาลัยการ อาชีพเชียงราย หากจะต่อ มทร.ล้านนา ก็สามารถนำหน่วยกิตมาเทียบโอนได้ และทำงานที่บริษัท เบญญาแทรกเตอร์ จ.น่าน คราวนี้มาฟังเสียงผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่กันบ้าง "คุณจุ๊บแจง" หทัยรัตน์ อินบุญมา เจ้าหน้าที่ส่วนงานบุคคล บริษัท เบญญาแทรกเตอร์ จ.น่าน บอกว่า สิ่งที่ทำให้เข้าร่วมโครงการนี้ เพราะน่าลอง และท้าทาย เนื่องจากยังไม่มีใครในจังหวัดน่านที่เข้าร่วม หากมองในระยะไกล เชื่อว่าโครงการนี้คุ้มทุนแน่นอน เช่น ถ้ามีเด็ก 1 ใน 10 คนที่มาเรียนตรงนี้ เมื่อจบการศึกษาแล้วทำงานกับทางบริษัทเรา เพราะเป็นเด็กที่เราฝึกมากับมือ หากถามว่าสถานประกอบการต้องการบัณฑิตแบบไหนบอกได้เลยว่าทุกองค์กรต้องการคนมีศักยภาพ มีความอดทน ตั้งใจสูง มีความรับผิดชอบ และมีความซื่อสัตย์ ขณะที่บัณฑิตที่จบมาส่วนมากไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน มีแค่ความรู้ในตำรา พอมาทำงานจริงอาจจะทำไม่ได้ สุดท้าย รศ.ดร.บัณฑิต ทิพากร ประธานคณะอนุกรรมการบริหารโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ฯ บอกว่า โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ รุ่นที่ 1 มีมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่เข้าร่วม เพียง 23 สถาบัน 221 หลักสูตร แบ่งเป็น หลักสูตรระดับปริญญา (Degree) 98 หลักสูตร และหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-degree) จำนวน 123 หลักสูตร โดยไม่เน้นปริมาณ แต่จะเน้นสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะตอบโจทย์ภาคการผลิตมากขึ้น ซึ่งใน ปี 2562 มหาวิทยาลัยตื่นตัวและเข้าร่วมโครงการมากขึ้น จากนี้คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าโครงการนี้จะสามารถตอบโจทย์รัฐบาลได้จริงหรือไม่ ส่วนบัณฑิตที่จบออกมาจะตรงใจสถานประกอบการตามที่คาดหวังมากน้อยแค่ไหน ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์.
URI: http://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/2678
Appears in Collections:ข่าวการศึกษา

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
B-190802035009.pdf160.92 kBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.