Please use this identifier to cite or link to this item: https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3445
Title: สอท.เร่งปรับเปลี่ยนองค์กรทรานส์ฟอร์มอุตฯไทยสู่ยุค 4.0 สัมภาษณ์พิเศษ
Authors: กรุงเทพธุรกิจ
Keywords: กรุงเทพธุรกิจ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
นวัตกรรม
อุตสาหกรรม 4.0
Issue Date: 1-Jun-2561
Publisher: กรุงเทพธุรกิจ
Abstract: วัชร ปุษยนาวิน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเศรษฐกิจโลก ทั้งด้านการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค เทคโนโลยีการผลิต และ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยจำเป็นจะต้องเร่งปรับเปลี่ยนจากากรใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบเดิมๆ ไปสู่การผลิตในระบบใหม่ที่ทันสมัยรองรับความต้องการของตลาดที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในฐานะที่สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นตัวแทนของ ภาคการผลิตของทั้งประเทศ จึงจำเป็นต้อง ปรับเปลี่ยนองค์กร เพื่อเข้าไปผลักดัน ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันใน ตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท. เปิดเผยว่า หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธาน ส.อ.ท. สมัยที่ 2 จะสานต่อโครงการต่างๆ ที่ได้ทำไว้แล้ว โดยในสมัยแรกได้เน้นการช่วยเหลือพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งได้เดินหน้าไปมากพอสมควร มาในสมัยนี้จะต่อยอดโดยการมุ่งเน้นในเรื่องการปรับเปลี่ยน ไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยการนำนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมไทย โดยที่ผ่านมาคณะกรรมการ ส.อ.ท. ได้จัด ประชุมเวิร์คชอร์ป เพื่อกำหนดกลยุทธ์แผน การทำงานของ ส.อ.ท. เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ทั้งในเรื่อง นวัตกรรม เทคโนโลยี การตลาด การพัฒนาคน การสนับสนุนด้านการเงิน และการพัฒนาผู้ประกอบการให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ จะร่วมมือกับภาครัฐในทุกๆด้าน โดย ส.อ.ท. มีกลุ่มอุตสาหกรรมอยู่ทั้งหมด 45 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านต่างๆ และ ยังมี 9 สถาบัน ภายใต้ ส.อ.ท. ได้แก่ 1. สถาบันวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม 2. สถาบันเสริมสร้างขีดความสามารถมนุษย์ 3. สถาบันรหัสสากล RFID และ Startup 4. สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม 5. สถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต 6. สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม 7. สถาบันอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร 8. สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารเพื่ออุตสาหกรรม และ9. สถาบันน้ำ และสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน "ส.อ.ท. จะผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ และสภาบันภายใต้ ส.อ.ท. มี ขีดความสามารถความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย ให้เข้าไปร่วมมือกับรัฐบาลในทุกๆด้าน เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยเปลี่ยนผ่าน ไปสู่อุตสาหกรรมชั้นสูง สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ" ทั้งนี้ สิ่งแรกที่จะต้องเร่งผลักดัน จะเป็นเรื่องการศึกษา เพราะคนเป็นหัวใจในการพัฒนาทุกด้าน หากขาดบุคลากรที่มีคุณภาพ มีทักษะแรงงานชั้นสูง ก็จะปรับเปลี่ยน ภาคอุตสาหกรรมได้ยาก โดย ส.อ.ท. ได้ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงศึกษาธิการ ในด้าน งานวิจัยต่างๆ โดย ล่าสุด ส.อ.ท. ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ จัดทำหลักสูตรวิศวกรรม 2-3 สาขาวิชา ซึ่งจะมีการออกแบบหลักสูตรร่วมกัน นำมหาวิทยาลัยต่างประเทศมาสนับสนุน ซึ่งรูปแบบหลักสูตรจะเป็นระบบสหกิจศึกษาจะมีทั้งการเรียน และการฝึกทำงานจริงในโรงงาน และรับประกันผู้ที่จบการศึกษาจะมีงานทำทุกคน โดยบริษัทที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้ จะนำนักศึกษาที่ผ่านหลักสูตรไปทำงานทุกคน ในขณะที่สภาอุตสาหกรรมจังหวัด โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมจังหวัดใน ภาคตะวันออก จะเข้าไปร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในท้องถิ่น ผลิตบุคลากรให้ตรงกับ ความต้องการของโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อสร้างบุคลากร รองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆที่ใช้เทคโนโลยีในระดับสูง และอุตสาหกรรมต่างๆในพื้นที่ สุพันธุ์ กล่าวว่า ล่าสุดส.อ.ท. ได้ร่วมมือ กับกระทรวงวิทยาสาสตร์ฯ ในการผลิตบุคลากรเพื่อรองรับการลงทุนใน อีอีซี ในด้านวิศวกรรม และนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม มองว่าในการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ หากให้เอกชนเริ่มต้นวิจัยพัฒนาเอง อาจจะต้องใช้เวลา นานมาก ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก จึงเห็นว่ารัฐบาลควรจะเข้าไปลงทุน ซื้อนวัตกรรมเหล่านี้ นำเทคโนโลยีที่ได้มาถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพราะกลุ่มเอสเอ็มอี ยังไม่มีศักยภาพ และเงินทุนมากพอที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ เช่น เทคโนโลยีแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า โดยในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ส.อ.ท. จะหารือร่วมกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เพื่อลงลึกในแผนการทำงานร่วมกัน "ส.อ.ท.เห็นด้วยที่จะนำมหาวิทยาลัยไปรวมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เพื่อตอบโจทย์งานวิจัย เพราะมหาวิทยาลัยต่างๆ มีงานวิจัยเป็นจำนวนมากที่กระทรวง วิทยาศาสตร์ฯจะนำมาต่อยอดให้เกิดผล ในเชิงพาณิชย์ ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม และการค้า โดยภาคเอกชนจะเข้าไปมีส่วนเสนอแนวคิด นำงานวิจัยไปผลิตในเชิงอุตสาหกรรม" ในส่วนของการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ อีอีซี ส.อ.ท. มีความเห็นว่า คณะกรรมการ อีอีซี ควรจะเพิ่มนโยบายสนับสนุนการลงทุนของเอสเอ็มอีไทยในพื้นที่ อีอีซี เป็นการเฉพาะ เช่น การจัดเตรียมสถานที่เพื่อรองรับ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากหลังมีการประกาศโครงการ อีอีซี ทำให้ราคาที่ดินใน 3 จังหวัดนี้เพิ่มขึ้นมาก ทำให้กลุ่มเอสเอ็มอีเข้าไปลงทุนได้ลำบาก นอกจากนี้ ภารกิจหลักที่สำคัญที่ ส.อ.ท. จะต้องเร่งดำเนินการ ก็คือ การปรับปรุง พ.ร.บ.สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2530 จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา พิจารณาในเรื่องนี้อย่างชัดเจน โดยเรื่องหลักๆ ที่จะปรับเปลี่ยน จะเป็นเรื่องการได้มาของ คณะกรรมการ ประธาน ส.อ.ท. การเป็นสมาชิก และแก้ไขข้อจำกัดต่างๆ เพื่อให้การทำงาน มีความราบรื่น ซึ่งจะพยายามให้เสร็จ ภายในเดือนหน้า เพื่อที่จะเร่งเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ (สนช.) ภายในรัฐบาลชุดนี้ "การแก้ไข พ.ร.บ.นี้ จะแก้ไข ในเรื่องการได้มาของกรรมการบริหาร ประธาน และสมาชิกของ ส.อ.ท. ที่ชัดเจน โดยกรรมการควรจะมาจากตัวแทนกลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสภาอุตสาหกรรมจังหวัด รวมทั้งจำนวนกรรมการควรจะน้อยลงกว่าปัจจุบันที่มีจำนวนกว่า 300 คน ซึ่งจะทำให้ ส.อ.ท. มีความเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น และลดความขัดแย้ง" 'สิ่งที่จะต้องเร่งผลักดัน เป็นเรื่องการศึกษา เพราะคนเป็นหัวใจ ในการพัฒนาทุกด้าน' สุพันธุ์ มงคลสุธี
URI: http://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3445
https://edu.iqnewsclip.com/newsservice.aspx
Appears in Collections:ข่าวมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
C-180601011005.pdf1.09 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.