Please use this identifier to cite or link to this item:
https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3091
Title: | นิเวศวิจัย มจธ. สร้างคน-นวัตกรรม |
Authors: | สาลินีย์, ทับพิลา |
Keywords: | กรุงเทพธุรกิจ การศึกษา |
Issue Date: | 2-Jan-2562 |
Publisher: | กรุงเทพธุรกิจ |
Abstract: | เมื่อโลกเปลี่ยน สถาบันการศึกษา ที่มุ่งเน้นผลิตบุคลากรคุณภาพเข้าสู่ตลาด ก็ต้องปรับตัวรับ เช่นเดียวกับ "มจธ." ที่ขยับสู่การเป็น "The Entrepreneurial University" คิดและพัฒนาแบบ ผู้ประกอบการ พร้อมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น หนุนเกิดระบบนิเวศที่เอื้อให้เกิดการพัฒนานวัตกรและนวัตกรรม ในฐานะที่เป็น 1 ในมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หรือ มจธ. วิจัยและพัฒนาออกมาเป็นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นในเชิงองค์ความรู้ ความต้องการภาคอุตสาหกรรม หรือประโยชน์ในเชิงสังคมและประเทศชาติ ระบบนิเวศสร้างนวัตกรรม รศ.สุวิทย์ เตีย รักษาการแทนอธิการบดี มจธ. กล่าวว่า แนวคิด The Entrepreneurial University มหาวิทยาลัยนักคิดนักพัฒนา (แบบผู้ประกอบการ) ที่ต่อยอดมาจากแนวคิดของ Holden Thorp and Buck Goldstein ซึ่งไม่ได้หมายถึงมหาวิทยาลัยทำหน้าที่แค่สอนวิชาการค้าขายหรือบริหารธุรกิจ หากต้องประกอบด้วยการส่งเสริม Liberal Arts Education ที่ผสานความรู้ด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ซึ่งเป็นหัวเชื้อที่จะนำไปสู่นวัตกรรม, เติบโตขึ้นด้วยการแก้โจทย์หรือปัญหาขนาดใหญ่, สร้างนวัตกรรมที่นำไปสู่การเกิดผลจริง และที่สำคัญคือ สร้างความร่วมมือระหว่าง "ภาควิชาการ" กับ "ผู้ประกอบการ" "สิ่งสำคัญอันดับแรกของการผลักดัน ให้เกิดนวัตกรรม คือ ระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษากับภาคเอกชน กระตุ้นให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ที่นำไปสู่นวัตกรรม เช่น อาคารเคเอ็กซ์ (Knowledge exchange) เป็นระบบนิเวศที่มาจากแนวคิดดังกล่าวตั้งแต่ ปี 2553 ภายในมีรูปแบบที่เอื้อให้เกิดนวัตกรรม ตั้งแต่ห้องปฏิบัติการ บริษัทที่สปินออฟจากการวิจัย สตาร์ทอัพ และอื่นๆ" รศ.สุวิทย์ กล่าว ตัวอาคารถูกกำหนดเป็นสถานที่ทำงาน พบปะ และจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ของหน่วยงาน 5 กลุ่ม ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และสถาบันการเงิน ซึ่งอาคารถูกออกแบบให้มีความเป็นระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างสตาร์ทอัพและการแลกเปลี่ยนความรู้ โดยออกแบบให้มีลักษณะสอดประสานเชื่อมโยงกันระหว่างพื้นที่แต่ละส่วน ตามแนวคิด Interlocking in Space เพื่อรองรับหลักการดำเนินงานภายในอาคารที่มุ่งให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของทั้ง 5 กลุ่ม ผศ.ทิพวรรณ ปิ่นวนิชย์กุล รองอธิการบดีฝ่ายการเงินและทรัพย์สิน กล่าวว่า การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้เกิดนวัตกรรมนำไปใช้ได้จริง นอกจากโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจัยที่สำคัญอีกประการคือ คนที่สร้างนวัตกรรมหรือนวัตกร ซึ่งบทบาทหลักของมหาวิทยาลัยคือ การเรียนการสอน การสร้างองค์ความรู้ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ ที่อาจนำไปต่อยอดในรูปของการจดสิทธิบัตร ทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ และขายหรือถ่ายทอดทรัพย์สินทางปัญญานั้นๆ ให้กับผู้ที่ต้องการ รูปแบบการสร้างธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพของ มจธ. แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ สตาร์ทอัพกลุ่มนักศึกษา และสตาร์ทอัพที่เกิดจากการสปินออฟจากแล็บต่างๆ ในส่วนของกลุ่มแรกนั้น มหาวิทยาลัยให้ทุนทั้งหมด 30 บริษัท และมี 15 บริษัทที่สามารถดำเนินธุรกิจได้จริง การสนับสนุนในลักษณะนี้ เป็นการบ่มเพาะกลุ่มนวัตกรที่ทำต่อเนื่อง โดยมี 2 บริษัทที่อยู่ได้เกิน 3 ปี หนึ่งในนั้นคือ InsightEra ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิ่งและปัญญาประดิษฐ์ทำแอพพลิเคชั่นแพลตฟอร์มสำหรับบิ๊กดาต้า ในขณะที่สตาร์ทอัพนวัตกรรมที่มาจากการสปินออฟ เช่น EATLAB ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภค ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารยุคใหม่ ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ หรือ SmartWire ลวดดัดฟันอัจฉริยะ เป็นต้น "เราอยากที่จะเป็นผู้ร่วมลงทุนในลักษณะของเม็ดเงิน แต่การเป็นมหาวิทยาลัยนั้น ทำไม่ได้ จึงเกิดความร่วมมือในลักษณะของการถ่ายทอดเทคโนโลยี อาจอยู่ในรูปของการถือครองหุ้น ซึ่งการที่มหาวิทยาลัยเข้าไปร่วมถือหุ้นในบริษัทนั้นๆ เป็นการสนับสนุนระยะยาวเพื่อร่วมประคับประคองธุรกิจให้สามารถขายและสร้างรายได้ กลับคืนสู่รัฐในรูปของภาษี" 'คน'หมากตัวสำคัญ ปัจจุบัน รายได้ของมหาวิทยาลัยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ งบประมาณประจำปี ที่รัฐบาลจัดสรรให้, ค่าเล่าเรียนและรายได้จากการวิจัยและบริการทางวิชาการ ซึ่งเป้าหมายคือ การเพิ่มรายได้ส่วนที่สามให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ทั้งหมด ไม่ต้องพึ่งงบอุดหนุนจากภาครัฐ ปัจจุบันใกล้จะถึงเป้าหมายนั้นแล้ว "เราเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย มันสมอง ทำให้ต้นทุนในการบริหารจัดการบุคลากรระดับนั้นต่อหัวสูงมาก เพื่อให้การวิจัยและบริการทางวิชาการของ มจธ. แข็งแกร่งพอที่จะสร้างรายได้ แต่ถ้าประเทศส่งเสริม มีกฎระเบียบที่ชัดเจน หนุนภาคเอกชนให้เติบโตด้วย วทน. จริง เอกชนก็พร้อมจะลงเงินทำวิจัย เงินส่วนนั้น ก็จะเพิ่มโดยอัตโนมัติ เพราะส่วนใหญ่จะมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมทั้งกำลังคน ห้องปฏิบัติการและอื่นๆ ที่จำเป็นมานานแล้ว จึงต้องมีกำลังคนหรือนวัตกรที่มีศักยภาพ และจำนวนเพียงพอ เพื่อผลักดันให้ระบบนิเวศนวัตกรรมเกิดและเติบโตรองรับตลาดที่จะขยายตัวอีกเช่นกัน" รักษาการแทนอธิการบดี มจธ.กล่าว แต่เมื่อเอ่ยถึงระบบนิเวศของประเทศ ผศ.ทิพวรรณ กล่าวว่า เมื่อเกิดแนวคิดนี้ขึ้น มักลงเอยที่การสร้างสถาบันใหม่ๆ ขึ้นมา แต่ในระยะยาว ระบบนิเวศนวัตกรรมไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานหรือสถาบัน แต่เป็น"คน" โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ขณะที่ในหลายประเทศมีนโยบายที่ชัดเจนมากออกมาในรูปแบบกฎหมาย หรือกรอบการทำงานที่ระบุว่า จะอุดหนุนเงินเท่าไหร่ ตั้งศูนย์การทำงานที่จะคาดการณ์ ไม่เพียงแค่เทคโนโลยี แต่เป็น Innovation Dashboard หรือ Innovation Informatics ที่สามารถตรวจวัดความก้าวหน้าของนวัตกรรมได้ทุกแกน "ไทยเรากลับไม่มีข้อมูลหรือผลวิจัย มารองรับผลความก้าวหน้าของนโยบายนวัตกรรม เราไม่มีศูนย์ข้อมูลนวัตกรรม หรือสถาบันที่ศึกษาด้านนี้ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการวางนโยบาย ดังนั้น เพื่อรองรับความต้องการเหล่านี้ มจธ.พยายามที่จะจัดเตรียมทั้งระบบนิเวศและปัจจัยต่างๆ รองรับ เช่น ในอาคารเคเอ็กซ์ก็มีสถาบันวิจัยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) ที่จะเป็นข้อมูลสนับสนุนนโยบายด้านนวัตกรรมของประเทศ" นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ Big Data Experience Center หรือ BX ที่เน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การสร้างและพัฒนาบุคลากร ตลอดจน ผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมูลค่าเชิงธุรกิจที่เป็น รูปธรรมและชัดเจน, ศูนย์การพัฒนาเอสเอ็มอี ร่วมมือกับหลายหน่วยงานน วทน. ไปช่วย ผู้ประกอบการให้เข้มแข็งขึ้น และในปี 2562 จะเกิดศูนย์ Social Lab เป็นสถาบันการเรียนรู้สำหรับสตาร์ทอัพที่ทำธุรกิจเพื่อสังคม ที่ต้องทำธุรกิจให้ได้เงินโดยไม่โลภ แนะปลดล็อกสัญชาติเพิ่มเด็กเรียนวิทย์ กรุงเทพธุรกิจ ผู้บริหาร มจธ. มองว่า ปัจจุบันความนิยมเรียนสายวิทยาศาสตร์น้อยลง ปลายทางในการเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนวัตกรที่จะสร้างนวัตกรรมขับเคลื่อนประเทศก็มีแนวโน้มที่จะลดลงตามไปด้วย ในเบื้องต้น หากไม่ยึดติดว่าต้องเป็นสัญชาติไทย ก็ควรจะรับเข้ามาก่อน เพราะประเทศที่เจริญแล้วก็ใช้วิธีแบบนี้ เปิดกว้างคนในประเทศทำงานร่วมกับคนจากต่างประเทศ เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพยากรนั้น แต่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้น ต่อมาคือ เรายังไม่ได้ใช้ภาคเอกชนอย่างเต็มที่ทั้งที่มีศักยภาพมาก "การสร้างคนและการพัฒนาประเทศด้วย วทน. ไม่ได้มา 3 ปีแล้วได้เลย แต่ต้องใช้เวลา 1 ชั่วคน เหมือนจีนที่เร่งสปีดเต็มที่ ก็ยังใช้เวลา 1 ชั่วคน ที่เสริมทัพด้วยนโยบายที่ชัดเจน การเลือกเทคโนโลยีที่จะสนับสนุนอย่างเหมาะสม การส่งเสริมภาคเอกชน และทำอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด" รศ.สุวิทย์ กล่าว ที่สำคัญ ใส่เงินลงไปมาก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้นวัตกรรม ยกตัวอย่างสวีเดนที่ลงเงินวิจัยและพัฒนามหาศาล ก่อนจะพบว่า เม็ดเงินที่ลงไปนั้น เกิดเป็นนวัตกรรมเพียงน้อยนิด แต่นวัตกรรมประเทศเกิดจากสิ่งอื่น เช่น Spotify ซึ่ง รูปแบบนี้ เริ่มมีให้เห็นหลายประเทศ หลังๆ เริ่มมีการตื่นตัว และรู้ตัวว่า เงินไม่ใช่ทางออก แต่เป็นองค์ประกอบร่วมระหว่างวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ระบบนิเวศ นโยบายนวัตกรรมที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้ ทุกคนกำลังศึกษาว่าอะไรกันแน่ แต่ไม่ใช่เงิน "เงินไม่ได้สร้างระบบนิเวศ แต่เมื่อระบบนิเวศเกิดแล้ว จากนั้นเงิน พันธมิตร จะตามมา นี่คือเหตุผลที่ มจธ. เดินหน้า ปูระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อผลในระยะยาว" |
URI: | http://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3091 https://edu.iqnewsclip.com/newsservice.aspx |
Appears in Collections: | ข่าวการศึกษา |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
C-190102011101.pdf | 1.44 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.