Please use this identifier to cite or link to this item:
https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3039
Title: | ทีดีอาร์ไอแนะตั้งกลไกคุมลงทุนชงจัดลำดับความสำคัญโครงการ |
Authors: | กรุงเทพธุรกิจ |
Keywords: | กรุงเทพธุรกิจ การศึกษา |
Issue Date: | 1-Jan-2562 |
Publisher: | กรุงเทพธุรกิจ |
Abstract: | กรุงเทพธุรกิจ นักวิชาการประเมินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มการจ้างงาน "ทีดีอาร์ไอ"แนะวางกลไกให้โครงการเดินหน้าต่อเนื่องแม้เปลี่ยนรัฐบาล "นิด้า"เสนอรัฐจัดลำดับความสำคัญโครงการ ห่วงภาระงบประมาณรัฐ หนุนเร่งลงทุนดันไทยรองรับเศรษฐกิจอาเซียนเติบโต "ม.หอการค้าไทย"ชี้ต่างชาติลุ้น เมกะโปรเจคอีอีซี หวังรัฐบาลผลักดันสำเร็จ ห่วงการเมืองทำโครงการสะดุด หลายฝ่ายเห็นตรงกันที่จะเร่งผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในปี 2562 ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ โดยเฉพาะในภาวะที่การส่งออกและ การท่องเที่ยวที่ได้รับปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกและมีแนวโน้มชะลอตัวลง นายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของรัฐบาลช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ถือว่าทำได้ดีระดับหนึ่ง เพราะได้ศึกษาและอนุมัติโครงการ จนนำไปสู่การประมูลและเริ่มลงทุนจริงหลายโครงการ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจเนื่องจากหลายโครงการเริ่มก่อสร้างแล้วทำให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตามอง คือ หลังการเลือกตั้งควรมีกลไกอะไรที่ผลักดันโครงการขนาดใหญ่ให้ต่อเนื่อง เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะถัดไป ซึ่งโครงการ ที่ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) ภาคเอกชนจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาอยู่แล้ว แต่โครงการที่ภาครัฐ เป็นผู้ลงทุนเอง เช่น โครงการรถไฟทางคู่ โครงการขยายทางหลวงหรือตัดถนนใหม่ ซึ่งเริ่มจัดงบประมาณบ้างแล้วต้องมีกลไกในการติดตามให้โครงการเป็นไปตามขั้นตอนและในเวลาที่กำหนด "โครงสร้างพื้นฐานเมื่อเริ่มก่อสร้างถือว่าเป็นสเต็ปที่ 1 ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ แต่การประเมินความคุ้มค่าของโครงการที่ชัดเจนจะเกิดขึ้นเมื่อประชาชนได้ใช้โครงการ ซึ่งต้องมีกลไกที่ขับเคลื่อนต่อเนื่อง เพราะ บางโครงการดำเนินงานหลายรัฐบาล เช่นรถไฟฟ้าสายสีแดงที่เป็นมหากาพย์ทำมาหลายปีหลายรัฐบาลแต่ประชาชนยังไม่ได้ใช้งาน หรือรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เริ่มก่อสร้างในรัฐบาลก่อนแต่รัฐบาลนี้มาแก้ปัญหาปลดล็อกให้รถไฟฟ้าสายสีม่วงเชื่อมกับสายสีน้ำเงิน ซึ่งต้องมีแนวทางการทำงานในรูปแบบนี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของโครงการ" นิด้าหนุนลงทุนดันไทยผู้นำอาเซียน นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ อาจารย์ประจำสาขาเศรษฐศาสตร์ คณะรัฐประศาสนศาสตร์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ มีหลายโครงการผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจคือการจ้างงาน โดยเฉพาะภาคก่อสร้างที่มีซัพพลายเชน เกี่ยวข้องมาก จึงส่งผลต่อเศรษฐกิจระยะยาว และทำให้รายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น รวมทั้งในระยะยาวดีต่อ ขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้ง สร้างความสะดวกในการคมนาคม ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและช่วยเรื่องการท่องเที่ยวด้วย นอกจากนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นการดำเนินการตาม ข้อตกลงความร่วมมืออาเซียนในปี 2558 ซึ่งให้ทุกประเทศเดินทางและ ส่งสินค้าเชื่อมโยงกันในอาเซียน เพื่อให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวอย่างแท้จริงหลังจากบรรลุข้อตกลงเรื่องการยกเว้นภาษีแล้ว ซึ่งต้องขับเคลื่อนความร่วมมือทั้งโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างด้านการสื่อสารและพลังงานที่ทุกประเทศต้องเตรียมการเรื่องนี้ สำหรับประเทศไทยมีที่ตั้ง อยู่ในอาเซียนตอนบนร่วมกับ 7 ประเทศ ที่มีประชากรกว่า 300 ล้านคน และมีพรมแดนติดกับ 4 ประเทศ ประมาณ 4,000 กิโลเมตร มีจังหวัดที่ติดชายแดน 33 จังหวัด มีการค้ากับเพื่อนบ้าน 25% ของมูลค่าการส่งออก ซึ่งทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยให้อาเซียนเชื่อมโยงกันมากขึ้น และจะเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่ช่วยให้จังหวัดชายแดน 33 จังหวัด ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในเพื่อนบ้าน ช่วยกระจายความเจริญและรายได้ในเศรษฐกิจชายแดนมากขึ้น นายมนตรี กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานที่ควรเร่งดำเนินการให้พร้อมสูงสุด คือ สนามบินเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในอนาคตอันใกล้ในอาเซียน จะใช้วีซ่าเดียว (Single Visa) ที่นักท่องเที่ยวนอกอาเซียนทำวีซ่าเดียวเที่ยวได้ 10 ประเทศ ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวในอาเซียนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 85 ล้านคน เป็น 175 ล้านคน ภายใน 10 ปี แนะจัดลำดับความสำคัญลงทุน ทั้งนี้ กรุงเทพฯ อยู่กึ่งกลางของอาเซียนจะทำให้นักท่องเที่ยวเลือกมาที่กรุงเทพฯก่อน ซึ่งหากไทยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมทั้งการขยายสนามบินสุวรรณภูมิแลอู่ตะเภา จะทำให้รองรับนักท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น ซึ่งการขยายสนามบินทั้ง 3 แห่งและลงทุนเพิ่มในอาคารผู้โดยสารและรันเวย์ จะทำให้รองรับนักท่องเที่ยว ได้ 195 ล้านคนต่อปี จากสนามบินสุวรรณภูมิ 90 ล้านคน ดอนเมือง 45 ล้านคน และอู่ตะเภา 60 ล้านคน ซึ่งการเชื่อมสนามบินทั้ง 3 แห่งด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ไทยพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ของอาเซียน ทั้งนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลต้องจัดลำดับความสำคัญ เพราะมีข้อจำกัดทางงบประมาณ และมี เพดานการก่อหนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% ของจีดีพี ซึ่งระดับหนี้ปัจจุบันอยู่ที่ 41% ต่อจีดีพีถือว่ายังมีช่องว่างในการก่อหนี้ เพื่อลงทุน หรืออาจพีพีพีเพิ่มขึ้น "การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีความจำเป็น เพราะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลเกษตรตกต่ำและหนี้ครัวเรือนยังลดลง ส่วนภาคเอกชนยังรอดูสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะเปลี่ยนผ่านอย่างไรและการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 65% เอกชนจึงยังไม่ลงทุนมากนัก ดังนั้นรัฐจึงควรเป็นผู้นำในเรื่องการลงทุนโครงการขนาดใหญ่" ต่างชาติลุ้นลงทุนโปรเจคอีอีซี นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดและอีอีซี จะทำให้เศรษฐกิจเติบโต โดยเฉพาะ อีอีซีที่เป็นพื้นที่เป้าหมายที่จะผลักดันให้ไทยพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยอีอีซีถูกวางให้เป็นพื้นที่สินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงและสินค้านวัตกรรม ดังนั้นจึงต้องการนักลงทุนจากต่างชาติให้มาลงทุนในพื้นที่ จึงไม่แปลกที่นักลงทุนต่างชาติต้องดูความต่อเนื่องของโครงการ รวมทั้งดูมาตรการและแรงจูงใจการลงทุนในอีอีซี ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติเห็นว่าแรงจูงใจการลงทุนแรง คือ ที่ตั้งของไทยที่เชื่อมตลาดซีแอลเอ็มวี จีน เอเชียใต้และยุโรปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ปัจจัยสงครามการค้าสหรัฐและจีนตึงเครียด ดังนั้นการเข้ามาลงทุนใน อีอีซีจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสถานการณ์นี้ นอกจากนี้ รัฐบาลพยายามแสดงให้นานาชาติมั่นใจว่าอีอีซีจะเกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะการประมูลโครงสร้าง พื้นฐานสำคัญ 5 โครงการ เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นในกรุงเทพฯ เช่น รถไฟฟ้าอีก 10 สาย ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทยและต่างชาติ "เม็ดเงินลงทุนกว่า 6 แสนล้านบาทของรัฐบาลรวมกับรัฐวิสาหกิจอยู่ที่ 8-9 แสนล้านบาท ที่จะอยู่ในอีอีซีจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง และขยายตัว เพราะไม่เพียงโครงการใหญ่ที่จะเข้ามาลงทุน แต่หมายถึงธุรกิจประกอบและธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็จะเติบโตด้วย" ห่วงการเมืองทำโครงการสะดุด นายธนวรรธน์ กล่าวว่า หาก เกิดอุบัติเหตุไม่มีการเดินหน้าโครงการจะมีการตั้งคำถามถึงสาเหตุ ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องหนึ่งก็คือเรื่องการเมือง เมื่อเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่ นักลงทุน ก็ต้องมองถึงความมีเสถียรภาพทาง การเมือง หากว่าโครงการล่าช้าก็ต้องมีเหตุผล แต่หากโครงการหยุดหรือไม่เดินหน้าต่อก็คงต้องดูว่าจะหยุดทุกโครงการหรือไม่ และโครงการที่ชะลอมีมูลค่าการลงทุนเท่าใด ดังนั้น ขณะนี้จึงประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ลำบาก เพราะถ้ามีการยกเลิกโครงการสำคัญจริงจะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา จึงทำให้รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เพราะถ้าขาดเสถียรภาพจะมีผลต่อการประมูล แต่การที่แผนงานถูกกำหนดตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงมั่นใจระดับหนึ่งว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศจะถูกกำหนดให้เดินตามแผนงาน แต่การปรับเปลี่ยนนโยบายบางเรื่องที่ไม่ใช่นโยบายหลักก็ยังทำได้ |
URI: | http://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3039 https://edu.iqnewsclip.com/newsservice.aspx |
Appears in Collections: | ข่าวการศึกษา |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
B-190101011036.pdf | 178.85 kB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.