Please use this identifier to cite or link to this item: https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3867
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.authorมติชน-
dc.date.accessioned2020-04-17T06:42:01Z-
dc.date.available2020-04-17T06:42:01Z-
dc.date.issued2563-02-07-
dc.identifier.urihttp://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3867-
dc.description.abstractหมายเหตุ - ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จัดการประชุมวิชาการ ประจำปี 2563 เรื่อง "โอกาสและความท้าทายของสถาบันอุดมศึกษาไทยภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม" เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรม เดอะสุโกศล กรุงเทพฯ "มติชน" เห็นมีเนื้อหาที่น่าสนใจ จึงนำเสนอ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี "มหาวิทยาลัยมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ และหลายครั้งที่พยายามบอกว่าต้องสร้างสิ่งใหม่เพื่อพัฒนาประเทศ แต่กลับไม่มีใครสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ปัจจุบันต้องยอมรับว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจไทยเริ่มสู้เวียดนามไม่ได้ และ 10 ปีที่ผ่านมา สังคมวุ่นวาย เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย บางส่วนโทษว่าโซเชียลมีเดียทำให้สังคมเป็นเช่นนี้ และโซเชียลมีเดียทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ แล้วสาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นเช่นนี้เพราะอะไร และจะสร้างเด็กไม่ให้เป็นเช่นนั้น จะทำอย่างไร ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการศึกษา ทุกระดับ ว่าจะหล่อหลอมเด็กให้เป็นในทิศทางใด ถ้าต้องการเด็กหรือบัณฑิตที่รับผิดชอบต่อสังคม ยึดสังคมมาก่อนตนเอง มหาวิทยาลัยต้องรับหน้าที่ผลิตบัณฑิตให้เป็นเช่นนี้ ฉะนั้น ต้องกลับมาดูหลักสูตรของตนเองว่ามีหลักสูตรที่ผลิตคนดีให้สังคมหรือไม่ ถ้าไม่มี จำเป็นต้องเปลี่ยนหลักสูตรใหม่เพื่อ ให้ผลิตบัณฑิตที่ต้องการ ดังนั้น การเปลี่ยน แปลงเป็นสิ่งจำเป็น หากอยากให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า เติบโตอย่างยั่งยืนและมีความสุข มหาวิทยาลัยต้องยืนได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่รอ งบประมาณจากรัฐเข้ามาช่วย มหาวิทยาลัยต้องกล้าเดินในทางที่ถูกต้อง กฎระเบียบไหนที่ล้าสมัยอาจจะต้องปรับเปลี่ยน หรือต้องสร้างสิ่งใหม่เข้ามาพัฒนามหาวิทยาลัย เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องขอบคุณดิสรัปชั่นที่ทำให้การศึกษาประเทศไทยเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้บรรลุไปขั้นหนึ่ง เพราะ เกิดกระทรวงการอุดม ศึกษาขึ้นมา ได้รับการจัดสรรงบประมาณใหม่เพื่อพัฒนาตนเอง ดังนั้น ในนามของรัฐบาลมีความต้องการ 3 ด้าน ที่ให้มหาวิทยาลัยพัฒนาประเทศคือ 1.สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ร่วมมือและช่วยกันทำวิจัย ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนในอดีต มหาวิทยาลัยต้องช่วยกันเพื่อพาความเจริญไปยังท้องถิ่นต่างๆ ส่วนมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) อย่าคิดว่ารัฐบาลมองไม่เห็นความสำคัญ เพราะในอนาคต ธุรกิจการท่องเที่ยวและการเกษตรในท้องถิ่นต่างๆ จะกลายเป็นหลักของประเทศ แม้รัฐบาลจะออกนโยบายพัฒนาชุมชนมามาก แต่อาจจะยังไม่ได้ผล ดังนั้น มรภ.และมหาวิทยาลัยต่างๆ จะต้องเข้าไปช่วยพัฒนาและส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง เมื่อชุมชนเข้มแข็งจะพัฒนากลายเป็นสมาร์ทซิตี้ได้ 2.มหาวิทยาลัยต้องช่วยสร้างนวัตกรรมที่ตรงกับความต้องการของประเทศ เพราะ นวัตกรรมถือเป็นที่มาของสตาร์ตอัพ มหาวิทยาลัย ควรจะสนับสนุนให้นักศึกษาคิดธุรกิจสตาร์ตอัพของตน โดยเปิดช่องทางให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น เช่น มีคลับ เพื่อให้อาจารย์ต่อยอด และส่งเสริมนักศึกษา โดยดึงเอกชนเข้าร่วม พัฒนานักศึกษาด้วย และ 3.การลดความเหลื่อมล้ำ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ขอให้มหาวิทยาลัยนำดิสรัปชั่น เป็นตัวทะลวง สร้างสิ่งใหม่ๆ เอาจุดแข็งของตนเองมาดู พัฒนา และเปลี่ยนแปลงตนเอง ต่อไป เชื่อว่าหากมหาวิทยาลัยมีความกล้า จะไม่มีใครมาขวางได้ เพราะมหาวิทยาลัยสามารถเป็นที่พึ่งให้กับสังคม โดยการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ต่อไปได้" สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ "เมื่อสังคมเกิดดิสรัปชั่นขึ้นมา มหาวิทยาลัย ต้องปรับเปลี่ยนตนเอง ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยทุกแห่งทราบปัญหาและปรับเปลี่ยนตัวเองแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมานั่งคุยกันว่าเหตุใดหรือทำไมต้องเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ภารกิจของผมในหน้าที่รัฐมนตรีว่าการ อว.คือการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายของกลุ่มมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทปอ. ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) และที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ทปอ.มทร.) มาสู่การปฏิบัติ และขับเคลื่อนพัฒนามหาวิทยาลัย โลกในศตวรรษที่ 21 การใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป คือการเรียนรู้ การทำงาน การเป็นวงจรหมุนเวียนกัน ทำให้การเรียนรู้ตลอดชีวิตมีความสำคัญ ไม่ใช่วงจร แบบเดิม ซึ่งประกอบด้วยการเรียนและการทำงานเพื่อก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ เรื่องเหล่านี้เป็นโอกาสของมหาวิทยาลัยที่จะต้องสร้างระบบการศึกษาที่รองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งมีหลายมหาวิทยาลัยเริ่มปรับตัว รองรับแล้ว กลุ่มเป้าหมายของมหาวิทยาลัยไม่ใช่นักเรียน นักศึกษาที่มีอยู่ 2-3 ล้านคนทั่วประเทศอีกต่อไป แต่เป็นบุคคลที่อยู่ในวัยทำงานกว่า 30 ล้านคน ที่จะต้องเพิ่มทักษะและสร้างทักษะให้กับคนเหล่านี้ใหม่ ดังนั้น ภารกิจของมหาวิทยาลัยต่อไป ประกอบด้วย 1.การสร้างคนสู่ศตวรรษที่ 21 2.สร้างองค์ความรู้ โดยปรับโจทย์ ปรับระบบงบประมาณและการวิจัยให้ตอบโจทย์ประเทศใน 4 ด้าน คือ การสร้างคน สร้างขีดความสามารถ ลดความเหลื่อมล้ำ และตอบโจทย์ประเด็นท้าทายต่างๆ เช่น โรคระบาด ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นต้น และ 3.การสร้าง และพัฒนานวัตกรรม ทั้งนี้ อยากให้มองว่าดิสรัปชั่นไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสที่จะทำให้ มหาวิทยาลัยตื่นตัว เปลี่ยนแปลง เพื่อ ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปด้วย ขณะนี้มหาวิทยาลัยตื่นตัว พร้อมปรับเปลี่ยน โดยในปีงบประมาณ 2564 รัฐบาลจัดเตรียมงบประมาณกว่า 12,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนามหาวิทยาลัย ทั้งนี้ การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงมหาวิทยาลัยนั้นจะไม่เปลี่ยนแค่ภารกิจท่านั้น แต่ต้องมีเรื่อง ธรรมาภิบาล การสร้างคน สร้างองค์ความรู้และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ประกอบเข้าไปด้วย ทั้งนี้ บางมหาวิทยาลัยอาจจะติดขัดเรื่องกฎระเบียบที่ทำให้พัฒนาไม่เต็มที่ ต้องปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ ซึ่งผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการ อว.จะรับเรื่องต่างๆ ไปศึกษา และปลดล็อกอุปสรรคมหาวิทยาลัยต่อไป" สุรินทร์ คำฝอย ประธานคณะกรรมการแผนงานและกลยุทธ์ "มหาวิทยาลัยต้องตอบโจทย์ชุมชนและสังคม แต่อิสระในการจัดสรรทรัพยากรของมหาวิทยาลัยเริ่มหายไป ดังนั้น มหาวิทยาลัยควรจะมีอิสระในการบริหารด้านต่างๆ เช่น ด้านการเงิน บุคลากร ทรัพยากร เป็นต้น ส่วนนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษาที่แบ่งกลุ่มมหาวิทยาลัยเชิงยุทธศาสตร์ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการวิจัยระดับแนวหน้าของโลก กลุ่มการพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม และกลุ่มการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่นั้น ควรจะนำปัญหาประเทศเป็นที่ตั้งและคลี่ปัญหาออกมา เช่น ปัญหาโลกร้อน มหาวิทยาลัยไหนที่มีศักยภาพ ควรจะช่วยกันพัฒนาและแก้ไขปัญหานี้ หรือปัญหาใดที่ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาแก้ไข มหาวิทยาลัยใดบ้างที่มีศักยภาพก็มาทำงานร่วมกัน เป็นต้น อาจจะไม่จำเป็นต้องแบ่งมหาวิทยาลัยตามกลุ่ม ที่สำคัญ การแบ่งกลุ่มมหาวิทยาลัยเช่นนี้ และมีตัวชี้วัด จะทำให้ทำลายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย" ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ประธานคณะกรรมการวิชาการ "ที่ประชุมคณะกรรมการวิชาการเห็นภาพ นโยบายของ อว.คือการพัฒนาคนและมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ รองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต แล้วมหาวิทยาลัยจะตอบโจทย์เรื่องนี้อย่างไร เพื่อเตรียมคนไทยเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 และมีจิตสาธารณะ สามารถมองภาพสังคมมาก่อนภาพส่วนรวม ภูมิใจในความเป็นไทยและสามารถประกอบอาชีพทำงานต่อไปแล้ว มีอะไรที่มหาวิทยาลัยจะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อพัฒนาคนเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ ซึ่งที่ประชุมเสนอให้พัฒนาหลักสูตรแนวใหม่ เนื่องจากหลักสูตรที่มีในปัจจุบันช้าเกินไป ที่จะตอบโจทย์ความต้องการแรงงานของประเทศ หลักสูตรแนวใหม่ควรจะเน้นความสามารถในการจัดการปัญหา บัณฑิตสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ต่อมาคือการสร้างเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรแบบใหม่ที่ไม่ต้อง อิงกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติ (มคอ.) สามารถทำได้หรือไม่ เป็นต้น ซึ่ง ทปอ.น่าจะเป็นผู้นำในเรื่องนี้ได้" นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ประธานคณะกรรมการวิจัยและนวัตกรรม "ที่ประชุมคณะกรรมการวิจัยและนวัตกรรมร่วมหารือในประเด็นต่างๆ เพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยและนักวิจัยควรปฏิรูปตนเองอย่างไรบ้าง ระบบจะต้องปลดล็อกอะไรบ้าง เพื่อให้มหาวิทยาลัยผลิตงานวิจัยเพื่อตอบโจทย์ประเทศและตอบโจทย์โลก ทั้งนี้ การพัฒนาวิจัย และนวัตกรรมอย่างไรถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากมีนโยบายจากบนลงล่างจะไม่ได้ผล ดังนั้น ถ้าประเทศต้องการวิจัยและนวัตกรรมที่ดี รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจนว่าการวิจัยและนวัตกรรมเป็นกุญแจการพัฒนาประเทศ และสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและสร้างนวัตกรรมต่อไป"en_US
dc.description.sponsorshiplibrary.carit@mail.rmutk.ac.then_US
dc.language.isootheren_US
dc.publisherมติชนen_US
dc.subjectที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) -- การประชุมวิชาการ ประจำปี 2563en_US
dc.title'สมคิด-สุวิทย์' ชูข้อดี'ดิสรัปชั่น' 'ทะลวง-เปลี่ยนแปลง' การ...en_US
dc.typeOtheren_US
Appears in Collections:ข่าวการศึกษา



Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.