Please use this identifier to cite or link to this item: https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3818
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.authorผู้จัดการรายวัน 360 องศา-
dc.date.accessioned2020-03-23T04:36:16Z-
dc.date.available2020-03-23T04:36:16Z-
dc.date.issued2563-01-01-
dc.identifier.urihttp://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3818-
dc.description.abstract"ส.อ.ท." ปักหมุดแผนงานปี 2563 เร่งภารกิจขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมสินค้าไทย Made in Thailand แบบเข้มข้นหวังลดพึ่งพิงส่งออกรับมือปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศระยะยาว พร้อมหนุนทรานสฟอร์มสู่อุตฯ 4.0 รับยุคดิจิทัล และปั้นแรงงานรับมือ Disrupt นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปี 2563 ส.อ.ท.วางแนวทางการดำเนินงานที่จะสานต่อภารกิจหลักเดิมและมุ่งเน้นในเชิงปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นใน 3 ด้านที่สำคัญได้แก่ 1. การขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการใช้สินค้าไทยหรือ Made in Thailand 2. การสร้างความเข้มแข็งให้ 45 กลุ่มอุตสาหกรรมก้าวสู่อุตสาหกรรรม 4.0 รองรับยุคดิจิทัล และ 3. การร่วมมือกับมาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อเพิ่มทักษะแรงงานในภาคอุตสาหกรรมภายใต้โครงการ FTI Academy ซึ่งทั้งหมดมุ่งเน้นในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเพื่อที่จะรองรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคตและการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจไทย สำหรับการมาตรการกระตุ้นให้ใช้สินค้าไทยหรือ Made in Thailand จะมีส่วนสำคัญในการปรับโครงสร้างการผลิตของไทยให้ลดการพึ่งพิงการส่งออกเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในระยะยาวเนื่องจากขณะนี้การส่งออกของไทยมีสัดส่วนสูงกว่า 60% ของผลิตภัณฑ์มวลในประเทศ (จีดีพี) และเมื่อรวมกับการท่องเที่ยวจะสูงกว่า 77% ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่บริหารจัดการไม่ได้ภาครัฐและทุกส่วนจะต้องส่งเสริมการใช้สินค้าไทยเพื่อให้คงการผลิตและการจ้างงานไว้ต่อเนื่อง "ปี 2562 ส.อ.ท.ได้นำเสนอแนวทางเบื้องต้นกับภาครัฐแล้วที่จะขอให้ผลักดันให้หน่วยงานราชการจัดซื้อจัดจ้างที่เน้นสินค้าไทยซึ่งแม้ว่า พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างจะมีการกำหนดเรื่องนี้แต่ก็นำปฏิบัติน้อยอยู่ แต่ในปี 2563 จะต้องผลักดันให้เกิดผลทางปฏิบัติต่อเพื่อระยะยาวภายใน 10 ปีข้างหน้าการใช้สินค้าไทยจะทำให้ลดสัดส่วนการส่งออกโดยหวังว่าจะเป็นตลาดภายในและต่างประเทศสัดส่วนอย่างละ 50% ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วล้วนก้าวมาจากจุดที่เน้นใช้สินค้าในประเทศไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฯลฯ" นายเกรียงไกรกล่าว ส่วนแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรมซึ่ง ส.อ.ท.มีสมาชิก 45 กลุ่มจะมุ่งเน้นการสนับสนุนองค์ความรู้และความร่วมมือกับรัฐให้มีการ ทรานสฟอร์มภาคการผลิตไปสู่โรงงาน หรือ อุตสาหกรรม 4.0 ที่ต้องเน้นการนำนวัตกรรม ระบบอัตโนมัติ หรือหุ่นยนต์เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยจะรวมถึงการ เตรียมพร้อมเข้าสู่เทคโนโลยี 5 G เป็นต้น นายเกรียงไกรกล่าวว่า ปี 2563 ยังคงสานต่อและมุ่งที่จะร่วมมือกับมาวิทยาลัยต่างๆ และภาครัฐเพื่อเพิ่มทักษะแรงงาน (Up-Skill ) ในภาคอุตสาหกรรมภายใต้โครงการ FTI Academy ที่จะกำหนดหลักสูตรการศึกษาให้สร้างบุคลากรที่มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของภาคการผลิต ซึ่งขณะนี้พบว่ามหาวิทยาลัยเอกชนเองหลายแห่งก็กำลังประสบปัญหาขาดแคลนนักศึกษาเพราะจบมาแล้วหางานไม่ได้จึงเริ่มไม่เรียนในหลักสูตรเดิมๆที่มีอยู่เพราะหลักสูตรบางอย่างไม่สอดรับกับโลกในปัจจุบัน เช่น คณะวารสาร สังคมศาสตร์ ฯลฯ ที่หลายธุรกิจเองก็ถูกเปลี่ยนแปลงจากนวัตกรรมหรือ Disrupt ทำให้เกิดปัญหาว่างงานตามมา "เราได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยและรัฐกำหนดหลักสูตรระยะสั้นเพื่อพัฒนาทักษะแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เน้นเพิ่มทักษะด้านไอทีและวิศวกรรม ด้วยการจัดอบรมไม่เกิน 1 ปี เพื่อพัฒนาแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด และจะขยายไปยังสาขาอื่นๆ มากขึ้น" นายเกรียงไกรกล่าว. บรรยายใต้ภาพ เกรียงไกร เธียรนุกูลen_US
dc.description.sponsorshiplibrary.carit@mail.rmutk.ac.then_US
dc.language.isootheren_US
dc.publisherผู้จัดการรายวัน 360 องศาen_US
dc.subjectอุตสาหกรรรม 4.0en_US
dc.subjectสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)en_US
dc.titleส.อ.ท.เร่งปรับอุตฯรับยุคดิจิทัลปี'63 กระตุ้นใช้สินค้าไทยลดพึ่งพิงส่งออกen_US
dc.typeOtheren_US
Appears in Collections:ข่าวการศึกษา



Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.