Please use this identifier to cite or link to this item: https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3816
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.authorเดลินิวส์-
dc.date.accessioned2020-03-23T04:24:34Z-
dc.date.available2020-03-23T04:24:34Z-
dc.date.issued2563-01-01-
dc.identifier.urihttp://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3816-
dc.description.abstractทีมข่าวการศึกษา การศึกษาไทยรอบปี 2562 ประเด็นหลักที่สำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลลุงตู่ 'พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" ตั้งแต่ครั้งเป็นรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือครม.ประยุทธ์ 2/1 ครึ่งปีแรกของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นช่วงที่แทบจะนิ่งสนิท เพราะทุกฝ่ายต่างจดจ่ออยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และยิ่งเป็นการตอกย้ำความนิ่งเข้าไปอีก เมื่อ 3 รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น ได้แก่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และศ.นพ.อุดม คชินทรรมช.ศึกษาธิการ พร้อมใจกันลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี เพื่อไปรับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ทำให้กระทรวงศึกษาธิการเกิดสุญญากาศ เพราะขาดเจ้ากระทรวงเป็นเวลาร่วม 3 เดือน กว่าจะ ได้รัฐมนตรีการศึกษาที่มาจาก 3 พรรคร่วมรัฐบาล คือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ จากพรรคพลังประชารัฐ และ 2 รมช.ศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช จากพรรคประชาธิปัตย์ และ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ จากพรรคภูมิใจไทย และยังมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ จากพรรคพลังประชารัฐ ในเก้าอี้ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทำเอาการศึกษาไทย เสียศูนย์ไปพักใหญ่เลย หากมองภาพรวมการศึกษาในฝั่งกระทรวงศึกษาธิการช่วงครึ่งปีหลัง ต้องถือว่า ยังไม่เห็นผลของความเปลี่ยนแปลงอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจน แม้นโยบายจะดูดี มีเจตนารมณ์ที่ดี หวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการศึกษา แต่ภาพการทำงานของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการยุคนี้กลับออกมาแบบต่างคนทำ จนดูเหมือนขาดเอกภาพ ต่างคนต่างมีเป้าหมายตามภารกิจของตนเอง เหมือนเป็นการ หาเสียงมากกว่า ย้อนกลับมาที่การขับเคลื่อนงานปฏิรูปการศึกษา แม้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) จะส่งมอบพิมพ์เขียวข้อเสนอแนะและแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาให้รัฐบาลตั้งแต่ต้นปี แต่ดูเหมือนความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษาในแต่ละด้านจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยเฉพาะกฎหมายแม่ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่ยังไม่มีวี่แววจะผ่านมาได้ง่าย ๆ ยังอยู่ในขั้นการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมีประเด็นที่เป็นปัญหาและหาจุดลงตัวไม่ได้ โดยเฉพาะคำว่า "ครูใหญ่" กับ "ใบรับรองความเป็นครู" และการเปิดให้คนที่ไม่ใช่ครูมาเป็นผู้ช่วยครูใหญ่ ที่โผล่ขึ้นมาในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อความรู้สึกของครูและบุลากรทางการศึกษาอย่างมาก จึงมีเสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษากลับมาเป็น "ผู้อำนวยการสถานศึกษา" และเรียก"ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู" เหมือนเดิม และจากความไม่ลงตัวนั้น นอกจากทำให้เกิดความล่าช้าในการผลักดันร่างกฎหมายแล้ว ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวเรียกร้อง เกิดเป็นม็อบครูแต่งชุดดำออกมาคัดค้างร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ลามไปถึงเรื่องการปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ ที่สืบเนื่องมาจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 16/2560 เรื่องการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 19/2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้มีการยกเลิกคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.)เขตพื้นที่การศึกษา ยุบคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาแล้วมีการตั้งคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) และ ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.)ขึ้นมา แต่ปรากฎว่า กศจ. ได้ทำหน้าที่แทน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ซึ่งเป็นงานด้านบุคคลเป็นหลัก ขณะที่งานที่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบาย มาตรฐานและคุณภาพการศึกษากลับทำได้น้อย และผลจากการเน้นไปที่งานด้านบุคคลทำให้เกิดความซ้ำซ้อนกับสำนัก งานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) อีกทั้งมีกระแสว่าจะ มีการยุบเขตพื้นที่การศึกษา ขณะเดียวกันก็มีการเผยแพร่ ผังโครงสร้างใหม่กระทรวงศึกษาธิการ ที่จะยุบตำแหน่งหัวหน้าองค์กรหลัก ซี 11 เหลือปลัดกระทรวงคนเดียว จึงยิ่งเป็นการโหมไฟแห่งความไม่พอใจให้ลุกโชนขึ้นมา เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษา" ถ้ามีคำว่า "ปรับโครงสร้าง" เมื่อไหร่ เป็นอันรู้กันว่ายืดเยื้อแน่นอน เพราะเหมือนเป็นการรื้อบ้าน รื้ออำนาจของผู้ที่ครองอยู่ เป็นการผูกปมใหม่ ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหนย่อมต้องมีคนที่ได้รับผลกระทบ การตั้งกำแพงรอจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อย่างไรก็ตามเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่ง นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ได้ตั้ง นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีโจทย์หลัก คือ ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยผลลัพธ์สุดท้ายต้องอยู่ที่เด็ก ที่สำคัญปี 2563 โรงเรียนทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ต้องมีคุณภาพอย่างเท่าเทียมในทุกภูมิภาค รวมถึงต้องเพิ่มจำนวนคนเรียนอาชีวศึกษาต่อสายสามัญให้ได้ 50 : 50 จากปัจจุบันที่มีเด็กเรียนอาชีวศึกษาไม่ถึง 40% ส่วนด้านอุดมศึกษาต้องถือว่าปีนี้เป็นประวัติ ศาสตร์ของการอุดมศึกษาไทย เพราะเป็นปีที่จัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ได้สำเร็จ เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2562 โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ นั่งเป็นรัฐมนตรีคนแรก ทั้งนี้ กระทรวง อว. เกิดจากการรวมสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) และหน่วยงานวิจัย ต่าง ๆ ของประเทศมาอยู่ด้วยกัน เพื่อหวังจะตอบโจทย์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของประเทศให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกศตวรรษที่ 21 ตามแนวนโยบาย Thailand 4.0 โดยมีพันธกิจหลัก คือ การมุ่งเน้นในการวางรากฐานประเทศไทยให้แข็งแกร่ง ภายใต้ 3 ภารกิจสำคัญ ได้แก่ การสร้างและพัฒนาคน การวิจัยเพื่อสร้างความรู้ การสร้างและการพัฒนานวัตกรรม เวลาผ่านมากว่า 3 เดือน ดูเหมือนจะยังไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย ทุกอย่างเป็นนามธรรมเหมือนเดิม และยิ่งได้ฟังเสียงประชาคมกระทรวง อว.ด้วยแล้ว จะยิ่งเห็นถึงความไม่สำเร็จของการรวมกระทรวง เพราะทั้งชาว สกอ.และวท. เดิม ดูจะไม่แฮปปี้กับการรวมกันในครั้งนี้ ถึงกับบ่นออกมาดัง ๆ ว่า ถ้าเลือกได้ขออยู่แบบเดิมจะดีกว่า เพราะเวลาที่รวมกันไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เห็นแน่ ๆ น่าจะเป็นเรื่องของการขาดความมั่นคงในชีวิตและไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากโครงสร้างสำนักงานปลัด อว.ไม่เสร็จเสียที ขณะที่ชาวมหาวิทยาลัยก็ไม่น้อยหน้า แอบบ่นเสียงดังไม่แพ้กันว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ยกเว้นการถูกตัดงบประมาณวิจัยกันถ้วนหน้า เพื่อนำไปกองไว้ให้ รมว.อว. ใช้ เพื่อสร้างผลงานสนองนโยบายรัฐบาล สุดท้ายต้องยอมรับว่า อะไรที่เป็นเรื่องใหม่ คงต้องให้เวลาในการปรับตัว จะให้เห็นผลทันตาคงไม่ได้ ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กันต่อไป. บรรยายใต้ภาพ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์en_US
dc.description.sponsorshiplibrary.carit@mail.rmutk.ac.then_US
dc.language.isootheren_US
dc.publisherเดลินิวส์en_US
dc.subjectการศึกษาไทยen_US
dc.titleเหลือบมองการศึกษาไทยปี 62en_US
dc.typeOtheren_US
Appears in Collections:ข่าวการศึกษา

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
เหลือบมองการศึกษา.pdf2.35 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.