Please use this identifier to cite or link to this item:
https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3318
Full metadata record
DC Field | Value | Language |
---|---|---|
dc.contributor.author | ชัยณรงค์, กิตินารถอินทราณี | - |
dc.date.accessioned | 2019-08-05T07:36:09Z | - |
dc.date.available | 2019-08-05T07:36:09Z | - |
dc.date.issued | 2562-01-08 | - |
dc.identifier.uri | http://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3318 | - |
dc.identifier.uri | http://edu.iqnewsclip.com/newsservice.aspx | |
dc.description.abstract | ตรวจการบ้านหลังจาก 'ปาบึก' พัดผ่าน อะไรที่น่าชื่นชม อะไรที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นห้วงเวลาที่น่าหวาดหวั่นของสังคมไทย กับการมาถึงของ ปาบึก (PABUK) พายุลูกแรกของ ปี พ.ศ.2562 แม้ล่าสุด พายุลูกนี้ได้กลายสภาพเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำแล้ว แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริเวณ ที่เป็น 'แนวพายุ' ไม่ว่าจะภาคใต้ หรือ อ่าวไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 18 จังหวัด ส่งผลกระทบกับ 133 ชุมชน ใน 90 อำเภอ และผู้คนกว่า 6.9 แสนชีวิตตามสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ยังคงเป็นเรื่องที่ ต้องจัดการอยู่ พอๆ กับการย้อนกลับไปถอดบทเรียนการจัดการภัยพิบัติใน ครั้งนี้ด้วย ต้องยอมรับว่า ทันทีที่ข่าวการก่อตัวของพายุลูกนี้ถึงหูคนไทย ความตื่นตัวไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับพายุ ผลกระทบ หรือแม้กระทั่งการพยากรณ์การเคลื่อนตัวของพายุก็ได้รับความสนใจ และต่อยอดข้อมูลออกไปอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลัก หรือสังคมออนไลน์ ก่อนที่จะเริ่มมีการส่งเสียงเตือนถึงความรุนแรงของพายุที่ 'น่าจะ' เป็นไปได้ โดยเทียบเคียงจากเหตุการณ์พายุแฮเรียตถล่มแหลมตะลุมพุกเมื่อปี 2505 และไต้ฝุ่นเกย์ที่ จ.ชุมพร เมื่อปี 2532 นำไปสู่การระดมสรรพกำลังทั้งภาครัฐ เอกชน จิตอาสาทั้งใน และนอกพื้นที่เพื่อรับมือกับพายุลูกนี้ ถ้าถามนักวิชาการอย่าง อ.บอยศักดิ์อนันต์ ปลาทอง จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เขายอมรับว่า การเตรียมรับมือครั้งนี้ ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่สุดอย่าง จ.นครศรีธรรมราช แม้ว่าจะป้องกันการสูญเสียได้ไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เกาะสมุย ก็มีความเสียหายไม่มากเท่ากับการพยากรณ์ครั้งแรกว่าพายุจะผ่านเหมือนกัน แต่ก็มีหลายเรื่องที่เขาคิดว่า ประเทศไทยน่าจะได้เรียนรู้จากพายุลูกนี้ พยากรณ์ หรือ พยาเกิน ความเข้าใจเรื่องการพยากรณ์อากาศของคนไทย และหน่วยงานรัฐ ซึ่งมักมองว่า พยากรณ์แล้วต้องเกิดจริง ถ้าไม่เกิดก็พร้อมด่า! ทั้งที่หลักของการพยากรณ์ หรือการเตือนภัย ต้องยอมรับร่วมกันว่า การเตือนภัยแล้วไม่เกิดเหตุการณ์ ก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ฝึกซ้อม ดีกว่า ไม่เตือน หรือเตือนช้าเกินไป นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลจาก มอ.หาดใหญ่ อธิบาย ความคลาดเคลื่อนของโมเดลพยากรณ์อากาศที่ไม่ตรงกันนั้นไม่น่าแปลกใจ เพราะทุกโมเดลพัฒนาจากทะเล ที่ไม่มีแรงเสียดทานจากแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็น ขอบเขตแผ่นดิน ขอบเขตเกาะ ความสูงต่ำของภูมิประเทศ แนวเทือกเขา เป็นต้น "พายุไม่ได้แปรปรวน หรือเปลี่ยนทิศ เขาก็มาตามสภาพที่ธรรมชาติกำหนดให้ สิ่งที่เปลี่ยนคือ การตัดสินใจ และโมเดลต่างๆ ที่เปลี่ยนไปต่างหาก ถ้าเราเข้าใจหลักการนี้ ก็ต้องยอมรับว่า การพยากรณ์อากาศตอนเข้าใกล้แผ่นดิน จะบอกได้แบบกว้างๆ มีโอกาสเปลี่ยนได้ เราจึงเห็นว่า ประกาศของทางการจะบอกแบบกว้างๆ ดังที่เราได้เห็นก่อนหน้านี้ว่า ประกาศคลุมทุกจังหวัดในภาคใต้เลย แต่ความจริง คือ ลม ฝน และคลื่น ไม่ได้เกิดพร้อมกัน เหมือนกันรวดเดียว แต่มันจะทยอยไล่ตามพื้นที่ จากใต้ขึ้นมา จุดที่ยังไม่ถึงก็มีเวลาเตรียมตัว จุดที่ผ่านไปแล้วก็เบาใจลง" ในมุมนี้ ถือเป็นโจทย์ที่ต้องแก้ในครั้งต่อไป ทั้งรายละเอียดการพยากรณ์รายจังหวัดที่ดีขึ้น ลำดับก่อน-หลังการเผชิญเหตุ หรือลักษณะของปัญหา ลม-ฝน-คลื่น กระทั่งการลงรายละเอียดระดับท้องที่ในแต่ละอำเภอที่แตกต่างกันไปตามภูมิประเทศ มองให้รอบด้าน "เราไปสนใจกับจุดที่ตาพายุจะขึ้นมากเป็นพิเศษ ขณะที่พื้นที่ที่จะแรงไม่น้อยกว่ากันเลย คือ ด้านเหนือของพายุ" อ.บอยตั้งข้อสังเกตในประเด็นต่อมา ด้านเหนือ ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ตามหลักการก็คือ ด้านขวาของพายุ "แต่พายุปลาบึกมันไม่เหมือนพายุลูกอื่นที่วิ่งเข้าฝั่งแบบตั้งฉาก จุดที่พายุขึ้น ก็คือจุดแรงที่สุดแน่ บวกกับด้านขวาของพายุ แต่กับพายุปลาบึก จุดที่หนักไม่แพ้กันคือ ด้านเหนือของพายุ ดังนั้น เมื่อเราประกาศว่า ศูนย์กลางพายุจะเข้าที่หัวไทร นั่นหมายความว่า ปากพนัง เมืองนครศรีธรรมราช ท่าศาลา สิชล ก็จะโดนหนักเหมือนกัน" ความรู้ต้องจัดการ ข้อมูลมหาศาล เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงพายุก่อตัวและขึ้นฝั่ง โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ เมื่อต้องการรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับพายุลูกนี้ แต่รัฐยังไม่ประกาศ หรือชุดข้อมูลจากภาครัฐตอบคำถามไม่ได้ ก็ยังมีแหล่งข้อมูลอื่นๆ เพื่อมาตอบคำถามคาใจ บางคนหาเองไม่ได้ ก็รับต่อๆ กันมา โดยเฉพาะออนไลน์ หลายคนจึงออกอาการ 'จับต้นชนปลายไม่ถูก' ไม่รู้ข้อมูลไหนเก่า ข้อมูลไหนใหม่ จนสับสน "ที่แน่ๆ คือ หลายคนอยากรู้ว่า บ้านตัวเองจะเป็นอย่างไร" เขาชี้ให้เห็นใจความสำคัญของปัญหา ซึ่งข้อมูลระดับท้องถิ่นนั้นเขามองว่า รัฐไม่สามารถจัดการได้ ต้องอาศัยการจัดการระดับพื้นที่เท่านั้น "ตอนที่รู้ว่าจะมีพายุ แต่เราไม่รู้ว่ารุนแรงขนาดไหน คนนึกภาพไม่ออก ฝนตกลมแรงแล้วอย่างไร บ้านเขาจะเป็นอย่างไร น้ำจะท่วมหรือเปล่า ทุกคนได้รับข่าวว่าให้ระวังพายุ แต่หลายบ้านไม่เข้าใจว่า ระวังแล้วต้องทำอย่างไร เรายังได้เห็นหลายบ้าน ไม่ย้ายของ ไม่ยกของที่อยู่ชั้นล่าง ยังไม่ย้ายออกจากพื้นที่" ความรู้ หรือข้อมูลที่ถ่ายทอดระดับชุมชน จึงกลายเป็นจิ๊กซอว์อีกชิ้นที่ถูกทำหล่นไปในสถานการณ์นี้ "เพราะเราลืมอดีตว่าชุมชนเราเคยอยู่อย่างไร ความแรงระดับนี้ ในช่วงสัก 50 ปีของพายุแฮร์เอียต 30 ปีของพายุเกย์ กับ 20 ปีของพายุลินดา เราไม่เหลือความทรงจำ และความรู้สึกให้ถ่ายทอดจากคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ ถ้าเราเทียบกับสมัยคลื่นสึนามิ เรื่องที่ชุมชนเราไม่เคยประสบการณ์มาก่อนในรอบ 100 ปี แต่ชาวเลมอแกนกลับรู้ว่า เจอสถานการณ์แบบนั้นต้องวิ่งขึ้นภูเขากันทั้งหมู่บ้าน ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครในรุ่นปัจจุบันเคยเผชิญกับสึนามิ แต่ความรู้มันถ่ายทอด เล่าสู่กันมาในชุมชน ไม่ใช่ความรู้จากห้องเรียน หรือจากหน่วยงานรัฐ" เขาคิดว่า ในคนรุ่นปัจจุบัน อายุสัก 50-70 ปี ต้องมีคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์นั้น ซึ่งประสบการณ์เหล่านั้น น่าจะได้รับการบอกต่อ แต่การเตือนกันในครั้งนี้ยังมีผลกระทบ หลายพื้นที่ไม่รู้ หรือเตรียมตัวว่า จะพบเหตุการณ์เช่นนี้ "กลายเป็นว่า เป็นเพราะรัฐไม่ได้เตือนจังหวัดเหล่านั้นว่าจะเผชิญกับคลื่นและระดับน้ำที่สูงขึ้น ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวรับมือ จะโทษภาครัฐอย่างเดียวไม่ได้ อยากให้มองอีกมุมหนึ่งคือ ค่านิยมของสังคมเปลี่ยนไป เราไม่เชื่อประสบการณ์ของชุมชน แต่เรารอที่จะฟัง ที่จะเชื่อหน่วยงานรัฐ รวมถึงเชื่อมั่นว่ารัฐต้องดูแลเรา จนละเลยที่จะดูแลตัวเอง ละเลยคำเตือนจากคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์มาก่อน" ประเด็นการสะสมองค์ความรู้ท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องที่ต้องกลับมาให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะหลายเรื่องไม่ได้มีบอกไว้ในตำรา ขณะเดียวกันคนในชุมชนก็ต้องเรียนรู้ร่วมกันบนพื้นฐานวิชาการที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน "การรู้จักทิศทางลม เมฆ ทางน้ำ พื้นที่สูง พื้นที่ต่ำในหมู่บ้านอยู่ตรงไหน ถ้าฝนตกหนัก ตรงไหนจะท่วม ตรงไหนจะไม่ท่วม อันนี้เป็นพื้นฐานเลย" เขาเน้น ประสานเพื่อประสิทธิภาพ บทเรียนสำหรับภาครัฐอีกเรื่องที่ อ.บอยคิดว่าสำคัญ ก็คือ การประสานข้อมูลอุตุนิยมวิทยาไปสู่การรับมือในสถานการณ์จริง "เมื่อสถานการณ์พายุมันพยากรณ์ได้ยาก และช่วงเวลาของข้อมูล และการเตรียมตัวเชิงพื้นที่ต้องสอดรับประสานกัน การทุ่มเททรัพยากรไปยังพื้นที่ต่างๆ ก็ย่อมไม่เท่ากัน และปรับเปลี่ยนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ายกเลิกภารกิจในพื้นที่นั้นไปเลย เพราะพายุมีรัศมีกว้าง แต่ความรุนแรงต่างกัน แต่ละพื้นที่ต้องรับมือต่างกัน บางพื้นที่เป็นฝน บางพื้นที่เป็นลม บางพื้นที่เป็นคลื่น และน้ำขึ้นสูง" คิดถึงธรรมชาติให้มากขึ้น "มองภาพอนาคต ผมคิดว่า วิถีชีวิตของคนไทยริมทะเลเปลี่ยนไป" สิ่งที่นักวิชาการอย่างเขาหมายถึงก็คือ เปลี่ยนจากการปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ กลายเป็นปรับธรรมชาติให้เข้าหาตัวเรา "บ้านริมทะเลสมัยก่อนต้องยกเสาสูง เผื่อว่าจะมีทะเลหนุน เผื่อว่าจะมีน้ำท่วม แต่เดี๋ยวนี้ เราสร้างบ้านติดดิน ใช้วิธีถมดิน ที่ลุ่ม ที่น้ำขัง ที่ที่เคยรองรับน้ำหายไป ฝนตกลงมาไม่นาน น้ำก็ท่วม น้ำทะเลเอ่อล้นมา ก็มีปัญหากับชั้นล่าง" เอ่อล้นมา ก็มีปัญหากับชั้นล่าง" เรื่องนี้ยังรวมถึงถนนหนทางต่างๆ ที่สร้างสูงขวางทางน้ำ ขณะที่ทางน้ำเดิมเปลี่ยนไป ถูกบีบให้แคบลงด้วยการสร้างกำแพง ตลิ่งแม่น้ำแต่เดิมเคยกว้าง มีตลิ่งลาดเอียงออกไปสองฝั่ง ก็ถูกถมเข้ามาจนแม่น้ำ ลำคลองเล็กลง พอฝนตกมากจึงเกิดการระบายไม่ทัน ขณะที่ หลายชุมชนตั้งอยู่บนพื้นที่ลุ่ม หรือพื้นที่รับน้ำ หรือแม้แต่พื้นที่ที่เคยเป็นป่าชายเลนที่น้ำทะเลท่วมถึงมาก่อน แล้วใช้วิธีถมดิน ทั้งถนนหนทาง ทั้งบ้านเรือน ฝนตกมาน้ำก็ท่วม น้ำทะเลหนุนสูงก็ท่วม "แต่เราโทษลมฟ้าอากาศ เราไม่โทษตัวเองว่า เราไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่" พื้นที่ริมทะเลก็ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างกัน อ.บอยบอกว่า การสร้างกำแพง ถมหินริมทะเล พอคลื่นเข้ามาสะท้อนทรายก็หายไป "นานวันเข้า ชายฝั่งที่มีความลาดเอียงมีทรายที่ชะลอคลื่นตอนเข้าฝั่งหายไป ชายหาดชันและลึกขึ้น คลื่นเข้ามาก็ปะทะกำแพง สะท้อนสูงขึ้นไปหลายเมตร ความเข้าใจของคน ก็ยังเข้าใจผิดว่า ต้องสร้างกำแพงให้แข็งแรง ต้องมีกำแพง มีกองหินไปสู้คลื่น แต่ยิ่งสู้ก็ยิ่งเสียหายมากขึ้น มีบทเรียนมากมายแต่ภาครัฐไม่ยอมรับ กลับดื้อดึงที่จะถมหิน สร้างกำแพงริมหาดกันอีก" ในระยะยาว เขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของผังเมืองที่ต้องคิดถึงพื้นที่รับน้ำ ทางน้ำ มีระยะถอยร่นให้กับน้ำ ทั้งน้ำจืด และน้ำทะเล และรูปแบบบ้านเรือนชุมชนริมฝั่งทะเล หรือริมแม่น้ำลำคลองก็ต้องปรับตัวให้กับ ธรรมชาติ ความจริงประการหนึ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ รูปแบบการอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยเอาชนะธรรมชาติ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่เคยเอาชนะธรรมชาติได้ สังคมเปลี่ยนไปไม่เชื่อประสบการณ์ชุมชนแต่รอจะฟังรัฐ เชื่อมั่นว่ารัฐจะดูแลเรา จนละเลยที่จะดูแลตัวเอง | en_US |
dc.description.sponsorship | library.carit@mail.rmutk.ac.th | en_US |
dc.language.iso | other | en_US |
dc.publisher | กรุงเทพธุรกิจ | en_US |
dc.subject | กรุงเทพธุรกิจ | en_US |
dc.subject | การศึกษา | en_US |
dc.title | บทเรียนจากปาบึก | en_US |
dc.type | Other | en_US |
Appears in Collections: | ข่าวการศึกษา |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
C-190108011073.pdf | 1.83 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.