Please use this identifier to cite or link to this item: https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3268
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.authorปริญญา, ชาวสมุน-
dc.date.accessioned2019-08-05T02:59:31Z-
dc.date.available2019-08-05T02:59:31Z-
dc.date.issued2562-01-07-
dc.identifier.urihttp://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3268-
dc.identifier.urihttp://edu.iqnewsclip.com/newsservice.aspx
dc.description.abstractยังไม่หมดยุคสมัยอันท้าทาย การอ่านและวงการหนังสือจะเป็นอย่างไรในปีหมู...ได้รู้กัน จากศักราชก่อนการปิดตัวของสื่อสิ่งพิมพ์ ข่าวคราวเกี่ยวกับการขาดทุนของ หลายสำนักพิมพ์ กับอีกเรื่องเชิงลบมากมายของวงการหนังสือมีให้ได้ใจสั่นไหว อยู่เนืองๆ จนหลายคนพาลต่อว่าปีที่แล้วคือ ปีหมาดุเอาเรื่อง มาถึงปีนี้ที่หลายคนแอบหวังว่าอะไรต่อมิอะไรจะ 'หมู' สมชื่อปี แต่บางคนก็แอบกลัวว่าจะกลายเป็นหมูเหนียว เคี้ยวยาก ยิ่งเป็นยุคที่สื่อออนไลน์ยังกล้าแกร่ง การจะแบ่งสัดส่วนเวลาให้คนละสายตามาอ่านหนังสืออาจยากขึ้นทุกวัน ทว่าจะมัวคาดเดาทำไม ให้คนวงในมาแถลงไขน่าจะดีกว่า ผู้จัดพิมพ์ฯ ยังยิ้มได้? พอพูดถึงคนวงในของวงการหนังสือทั้งองคาพยพ คงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจากบรรดาฟันเฟืองต่างๆ ในสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ซึ่งมีหัวเรือใหญ่คือ สุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมฯ สำหรับปีหมูที่โหรหลายคนนิยามว่าเป็น 'หมูไฟ' ในสายตาของสุชาดาความวิตกเริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้วเมื่อรัฐบาลประกาศให้มีการเลือกตั้ง นับจากนั้น 5-6 เดือน ธุรกิจต่างๆ รวมทั้งธุรกิจหนังสือเสมือนใส่เกียร์ว่าง รอดูท่าทีอย่างนิ่งงัน ความสงบกระทบหลายด้าน เช่น ไม่มีงบประมาณการจัดซื้อหนังสือ เป็นต้น "แต่ยังมีเรื่องดีๆ เช่น นโยบายช้อปช่วยชาติ เป็นครั้งแรกที่หนังสือเข้ามาเป็นหนึ่งสินค้าของช้อปช่วยชาติ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ ตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลมีระบุว่าจะพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ การอ่านและหนังสือเป็นปัจจัยการพัฒนาศักยภาพคนในชาติ ถ้ามองในแง่ธุรกิจหนังสือ ก็ทรงๆ ไม่ได้หวือหวานัก ส่วนหนึ่งมาจากสื่อดิจิทัล ซึ่งดิจิทัลมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือการซื้อขายได้เข้าไปอยู่ในอีกแพลตฟอร์มคือออนไลน์ เมื่อปี 2560 การซื้อขายออนไลน์โตมากเลย แต่พอปี 2561 ก็เกิดปัญหาคือเฟซบุ๊คลดการเข้าถึงเพจต่างๆ จากที่เราเคยคิดว่ามันเป็นทางออกของการขายหนังสือ เราก็รู้สึกว่าต้องหาตัวช่วยอีกแล้ว ซึ่งช้อปช่วยชาติเป็นส่วนหนึ่งที่มาเป็นระยะสั้น" ความคาดหวังของสุชาดาต่อนโยบายดังกล่าวคือต้องการผลักดันให้ตลอดปี 2562 เกิดการช้อปหนังสือช่วยชาติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลังวันที่ 15 มกราคมนี้สถิติที่กระทรวงวัฒนธรรมเก็บรวบรวมได้จะเป็นไปในทิศทางไหน หากตัวเลขค่อนข้างดีสมาคมผู้จัดพิมพ์จะร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมส่งเสริมให้การซื้อหนังสือทั้งปีลดหย่อนภาษีได้ หลังจากเฟซบุ๊คไม่เอื้ออำนวย PUBAT มองว่าแอพพลิเคชั่นอื่นอย่าง LINE อาจทดแทนได้ เพราะฉะนั้นดิจิทัลจึงไม่ได้น่าห่วงเกินไปสำหรับวงการนี้ เพียงแต่สำนักพิมพ์ควรขยับตามความถนัดว่าจะต่อยอดอะไรได้บ้าง เช่น จัดงานเปิดตัวหนังสือ, อบรมสัมมนา หนึ่งในนั้นคือกิจกรรมที่สุชาดาบอกว่าจะสร้างปรากฏการณ์ คือ LIT Festival ในวันที่ 18-20 ม.ค.นี้ ที่มิวเซียมสยาม ด้วยพลังของสำนักพิมพ์และคนรุ่นใหม่จะสร้างบรรยากาศการอ่านให้คึกคัก แตกต่าง "วิกฤตคือการสร้างโอกาส ทุกคนต้องปรับตัว ทุกคนต้องปรับขบวนการเคลื่อนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการลดคน ซึ่งก็เป็นไปแล้วตั้งแต่ 2 ปีก่อน ถึงตอนนี้คิดว่าทุกคนสลิมแล้วแหละ หรือการเปิดโกดังขายของคือการถ่ายหนังสือที่ไม่ค่อยมีทางไป เพื่อจะได้เงินกลับมาเป็นสายป่านต่อธุรกิจของตัวเอง อีกอย่างที่สมาคมเริ่มและทำไปแล้วคือโครงการหรีดหนังสือ ตรงนี้ไปได้ด้วยดี ต่อไปเราจะพยายามสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานต่างๆ เปลี่ยนจากการสั่งหรีดดอกไม้สดเป็นหรีดหนังสือแทน เพราะเงิน 1-2 พันบาท จะไม่หายไปไหน แปรเป็นหนังสือในชุมชนที่ขาดแคลนแทน" แม้ที่ผ่านมาจะไม่ใช่ยุคทอง และไม่ใช่ยุคมืดถึงที่สุด แต่จากสถิติที่นายก PUBAT ทราบ อีบุ๊คส์กลับมาเติบโตมากขึ้นจนน่าประหลาดใจ และเป็นนิมิตรหมายอันดี ที่คนยังซื้อหนังสืออ่าน เพียงเปลี่ยนเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนหนังสือเล่มที่ยังนับเป็น 'ผู้อยู่รอด' มิหนำซ้ำยังมีโอกาสไปได้ไกลมาก คือหมวดวรรณกรรม เน้นหนักที่นวนิยาย Y (วาย) และที่น่าสนใจคือหมวดพัฒนาตนเองกำลังกลับมาโตขึ้นหลังจากเงียบหายไปหลายปี "เมื่อไรที่เศรษฐกิจไม่ดี คนจะขวนขวายหาความรู้ กลับไปดูปี 2540 ได้เลย ตอนฟองสบู่แตก หนังสือพวกนี้ขายดี เหมือนคนพยายามดิ้นรนหาอะไรใส่ตัว หรือไม่ก็มาฟื้นฟูจิตใจ สร้างพลังใจตัวเองให้ฮึกเหิมมาต่อสู้กับปัญหาต่อไป หนังสือแนวนี้จึงเติบโตขึ้น" นอกจากนี้หนังสือแนวองค์ความรู้ ประวัติศาสตร์ สุชาดาบอกว่ามียอดขายดีวันดีคืน อาทิ หนังสือแนวเซเปียนส์ (เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มนุษยชาติ) ถึงขั้นว่าหนังสือแนวนี้ขึ้นแท่นที่สุดของหนังสือขายดีของสำนักพิมพ์มติชนทีเดียว ไม่ว่าดีหรือร้าย จะขายดีหรือต้องเลหลังเป็นโกดัง ในฐานะนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เธอยังบอกเสมอว่า "คนทำธุรกิจหนังสือคือคนที่เสริมสร้างปัญญา และคนทำก็มีปัญญา การทำหนังสือเหล่านี้เขารู้วิธีเอาตัวรอด รู้วิธีบริหารให้อยู่รอด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือภาครัฐ ถ้าภาครัฐไม่สนใจ คุณภาพของคนไทยที่เป็นแบบนี้ เราจะถูกชาติอื่นแซงหน้า เรามักจะบอกเพื่อนสมาชิกสำนักพิมพ์ว่าให้อดทน ทำอย่างไรให้เรารอดได้ อาจต้องอยู่อย่างพอเพียง อย่าสุ่มเสี่ยง การทำหนังสือคือต้นทุนทั้งนั้น จึงเชื่อว่าหนังสือที่จะออกมาสู่ตลาดในปี 2562 นี้ ต้องเป็นหนังสือที่ทุกคนคั้นกะทิมาแล้วอย่างเข้มข้น ไม่มีใครอยากเสี่ยงหรอก ไม่มีใครอยากขายไม่ดีหรอก และน่าจะเป็นหนังสือที่หาความแตกต่างได้ อาจพิมพ์จำนวนไม่เยอะ ก็ต้องดี" E-Books ถูกปลุกอีกครั้ง เหมือนเรื่องทำนองนี้จะเคยสั่นสะเทือนวงการมาแล้วเมื่อเกือบสิบปีก่อน ครั้งนั้นการเติบโตของ E-Books (อีบุ๊คส์) ในต่างประเทศแบบก้าวกระโดดส่งแรงกระเพื่อมมาถึงไทย สำนักพิมพ์หลายแห่งขยับตัวลงสู่สังเวียนอีบุ๊คส์ในทันที มีบริษัทรับทำ และจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ผุดขึ้นรับสถานการณ์ อีกสิ่งที่ตามมาขณะนั้นคือความหวั่นวิตกจากบางคนว่า "หนังสือเล่มจะตายเพราะอีบุ๊คส์!" แต่จนแล้วจนเล่า ผ่านมาหลายปีอีบุ๊คส์ยังทำอะไรหนังสือเล่มไม่ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ขณะเดียวกันอีบุ๊คส์ก็ค่อยๆ เงียบหายไป ...จนกระทั่งปีที่แล้ว และปีนี้ การกลับมาของอีบุ๊คส์ครั้งนี้ดูจะจริงจังและมีแบบแผนชัดเจนกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งหนึ่งในคนที่หันหน้าเข้าสู่แวดวงนี้ไปอย่างสุดตัวคือ พัลลภ สามสี อดีตบรรณาธิการสำนักพิมพ์มติชน ปัจจุบันเป็นผู้จัดการ i-reader แพลตฟอร์มอีบุ๊คส์ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศจีน เขาเล่าถึงความจริงจังของบริษัทอีบุ๊คส์เจ้านี้ว่าทั้งแปลผลงานภาษาจีนเป็นภาษาไทย, เป็นพื้นที่ขายผลงานของสำนักพิมพ์ในไทย และสร้างนักเขียนไทยจากศูนย์จนถึงระดับมืออาชีพ ทั้งหมดนี้อยู่ในกรอบของแนวนวนิยาย และการ์ตูน (comics) แบบอีบุ๊คสำหรับอ่านในแทบเล็ตและสมาร์ทโฟน (แอพพลิเคชั่น) โดยเริ่มก่อตั้งบริษัทที่จีนเมื่อปี 2008 และเข้ามาในไทยปี 2017 ซึ่งมีเพียงประเทศเดียวที่มีออฟฟิศของบริษัทนี้ "ที่เขาเลือกเข้ามาในไทยเพราะเขารีเสิร์ช เวลาจีนจะทำอะไรตั้งแต่ยุคโบร่ำโบราณ R&D มาก่อนเสมอ เขามารีเสิร์ชตลาดในไทย อะไรที่มีในตลาดหลักทรัพย์ก็ค้นข้อมูลไป อะไรไม่มีก็หาเพิ่ม เช่น มีข้อมูลของ OOKBEE ของ MEB ว่าปีหนึ่งขายได้เท่าไร อย่างเมื่อปีที่แล้ว MEB ประกาศว่าขายได้ 400 ล้าน แค่นี้ก็น่าตกใจแล้วสำหรับประเทศอย่างไทย เขาก็เลยอยากมาลงทุน หรืออย่างแถลงการณ์ของสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ทั้งปีตั้ง 24,000 ล้านบาท ก็ถือว่าใหญ่ เขาก็อยากมีส่วนแบ่งตลาด อีบุ๊คส์ปัจจุบันอยู่ที่ 3-5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเขามาแบ่งไปได้เขาก็สนใจ แต่จริงๆ แล้วตัวเลข 3-5 เปอร์เซ็นต์ ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะในจีนมันโตกว่านั้นเยอะเลย เขาจึงต้องการมาทำตลาดอีบุ๊คส์ให้ใหญ่ขึ้นด้วย" หากการเติบโตเป็นอย่างที่เขาเล่า ปีนี้อาจได้เห็นอีบุ๊คส์กลับมาถูกพูดถึงมากขึ้น เพียงแต่ว่าไม่ใช่โตแบบก้าวกระโดด เพราะพัลลภก็ย้ำว่าน่าจะค่อยๆ โต เพราะพื้นฐานชาวไทยไม่เปิดรับเทคโนโลยีไวอย่างชาวจีนหรือเกาหลีใต้ ทว่าสัญญาณอันดีคือปัจจุบันคนทุกเพศทุกวัย แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ก็มีสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตแล้ว นอกจากเล่นโซเชียลหรือแชท การอ่านอีบุ๊คส์ก็เป็นไปได้ "ผมว่าอีบุ๊คส์มีโอกาสโต แต่ไม่ใช่กราฟชันขึ้นๆ อาจมีขึ้นมีลง เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้เล่นรายใหญ่มีน้อย และบางรายโฟกัสหลุดไป ไปทำธุรกิจอื่นๆ ด้วย ที่ผมเลือกมาทำงานที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพราะที่นี่เน้นแต่หนังสือด้วยนะ เราก็ขายลิขสิทธิ์ด้วยนะ เราไม่พิมพ์เล่ม ใครอยากมาซื้อลิขสิทธิ์เราไปพิมพ์เราก็ขาย สุดท้ายเรามองการขาย IP เป็นเป้าหมายสูงสุด เนื่องจากเรายังไม่ได้เปิดตัวเต็มพิกัด แต่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เราบู๊สท์ในโซเชียลมีเดียพร้อมกันสามประเทศ ปรากฏว่าตัวเลขในไทยสูงกว่าเกาหลี และไต้หวัน อาจเพราะผู้ใช้บริการมือถือเราเยอะกว่า ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตเราสูงกว่า ชั่วโมงการเล่นโซเชียลมีเดียต่อวันเราสูงกว่า และในวันนั้นมียอดคลิกซื้อในไทยสูงกว่าประเทศที่เขามีฐานการอ่านที่แข็งแรงกว่าเรา อีบุ๊คส์จึงมีโอกาสโตได้ถ้าคอนเทนท์ดีจริง ถึงอย่างไรผมก็ยังมองว่าคอนเทนท์ยังคือ king เหมือนเดิม" ตามหลักอุปสงค์-อุปทาน เมื่อมีผู้ผลิต มีผู้บริโภค ยิ่งเป็นสองกลุ่มที่มีตัวตนจริงแบบนี้ สิ่งที่พัลลภคาดไว้ในปีนี้คือบริษัท หรือสำนักพิมพ์ที่ทำอีบุ๊คส์หรือมีแผนการทำอีบุ๊คส์จะขยับตัวมากขึ้น เพื่อแข่งขันแย่งชิ้นเค้กกัน และในที่สุดคนที่ได้ประโยชน์คือผู้อ่าน กลุ่มบริษัทรายใหญ่สายป่านยาว อาทิ กวีบุ๊ค ต้องมีอะไรทำให้ประหลาดใจแน่นอน เพราะมีลิขสิทธิ์นิยายจีนอยู่ในมือเป็นกุรุส ส่วนผู้แปลเถื่อนในเว็บบอร์ดต่างๆ ก็จำเป็นต้องถอย ทำนองว่า "หลบหน่อย เจ้าของลิขสิทธิ์มา" สำหรับแนวทางที่กำลังได้รับความนิยมและมีแนวโน้มจะฮิตมากขึ้นในปีนี้ ผู้จัดการ I-reader คนนี้ ชี้ชัดว่า เรื่องแปลจากจีนยังมาแรง โดยเฉพาะแนว BL (Boy Love) หรือที่บ้านเราเรียกว่าแนว Y (วาย) นอกจากนี้แนว 18+ ก็จะยังได้รับความนิยมมาก "อีกแนวที่ตอนนี้ผมแปลอยู่ก็แนวท่านประธาน ประธานสุดหล่อ เย็นชา เกลียดผู้หญิงคนนี้ แต่อยู่ดีๆ ก็ค่อยๆ หลงรัก ผู้หญิงก็จะไม่ชอบท่านประธานเพราะเย่อหยิ่งและรวยเกินไป ก็เป็นแนวโรมานซ์นั่นแหละ แต่เป็นตัวละครพวกประธานบริษัทอะไรทำนองนี้ ช่วงนี้จะโดนใจกลุ่มผู้อ่าน" หลังจากอีบุ๊คส์ถูกปลุกให้ตื่น ยังมีหลายคนนึกถึงครั้งที่อีบุ๊คส์มาแล้วก็ไป แต่ด้วยปัจจัยต่างๆ ปัจจุบันเปลี่ยนไปมากจึงเป็นไปได้ว่าคราวนี้คือ 'ของจริง' อาทิ เครื่องมืออย่างสมาร์ทโฟนเมื่อเกือบสิบปีก่อนกับยุคนี้ราคาและคุณภาพแตกต่างกันขนาดไหน ระบบสร้างอีบุ๊คส์ เช่น epub พัฒนาไปไกลมากแล้ว ต่อไปจะมีลูกเล่นมากมายดึงดูดผู้อ่าน แม้แต่วิธีการเขียนและนิสัยการอ่านของคนปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปล้วนเป็นปัจจัย "เดี๋ยวนี้คนที่เขียนหนังสือในอินเทอร์เน็ตจะเขียนย่อหน้าสั้นๆ อ่านได้ไวๆ แทบจะไม่มีใครเขียนย่อหน้าใหญ่ๆ ยาวๆ เหมือนสมัยก่อนแล้ว" พัลลภบอก เมื่อพฤติกรรมคนอ่านเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน คงเป็นอีกปีที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งแง่บวกและแง่ลบ และคงเป็นอีกปีที่ต้องบอกว่าจะ 'หมู' หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้เหมาะสม ไม่ช้าไป ไม่วู่วามไป หวังว่ามิตรน้ำหมึกจะผ่านปีหมูไฟไปได้ด้วยดีen_US
dc.description.sponsorshiplibrary.carit@mail.rmutk.ac.then_US
dc.language.isootheren_US
dc.publisherกรุงเทพธุรกิจen_US
dc.subjectกรุงเทพธุรกิจen_US
dc.subjectการศึกษาen_US
dc.titleอ่าน 2019en_US
dc.typeOtheren_US
Appears in Collections:ข่าวการศึกษา

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
C-190107011097.pdf1.69 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.