'เทพผิวสี'กับ'ความเท่าเทียม'ในอินเดีย

Abstract

เรื่องเกี่ยวกับผิวพรรณถือเป็น อีกประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันในสังคมอินเดียอย่างยาวนาน รวมทั้งได้กลายเป็นหัวข้อการรณรงค์ด้านความเท่าเทียมอย่าง Dark is Beautiful และ #BinTheTube ซึ่งสนับสนุนให้ ผู้หญิงหันมามั่นใจกับลักษณะผิวพรรณ ที่ธรรมชาติมอบให้ โดยปราศจากการ แต่งเติมของเครื่องสำอาง อีกทั้งยังเป็นการสื่อสารไปถึงคนในวงการบันเทิง และอุตสาหกรรมภาพยนตร์เพื่อให้มายาคติเกี่ยวกับความงามของผู้หญิงตามสมัยนิยมนั้นทลายลง นอกเหนือจากวัฒนธรรมนิยมของคนในสังคมแล้ว เรื่องของสีผิวยังถูก ส่งผ่านไปยังความเชื่อ และบรรดาเทพเจ้า ในศาสนาฮินดูด้วย ไม่ว่าจะเป็น พระลักษมี พระพิฆเนศวร์ และพระอิศวร ที่สื่อสารถึงมุมมอง และมาตรฐานของ ผิวพรรณที่ปรากฏในสังคมทั่วไป ภาพชุดที่ถูกอัพโหลดขึ้นทาง โซเชียลมีเดียที่มีชื่อว่า Dark is Divine ของ Naresh Nil กำลังทลายกรอบ ความคิด และท้าทายความเชื่อเหล่านั้นโดยจิตรเทพ และเทพธิดาองค์ต่างๆ ถูกสื่อสารผ่านผิวสี "ความคิดในงานชุดนี้เกิดจากแนวคิดถึงความยุติธรรม และการยอมรับโดยเฉพาะเทพเจ้าที่สังคมรับรู้ทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้น่าจะถูกนำมาสื่อสารให้กับคนอื่นๆ ได้รับรู้ และยอมรับว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติในสังคมของเรา" ช่างภาพหนุ่มจากเชนไนคุยถึงโปรเจคดังกล่าวที่เขาทำร่วมกับ Bharadwaj Sundar โดยใช้ โปรดักชั่นเฮาส์อย่าง Slingshot Creations เป็นที่ทำงาน พวกเขาเริ่มโปรเจคนี้ ช่วงเดือนกันยายน 2560 และใช้เวลากว่า 2 เดือนในการรังสรรค์ภาพ 7 ภาพเพื่อถ่ายทอด "Bala Murugan" ผู้ซึ่งเป็นร่างอวตารของเทพปกรณัมอินเดีย พระลักษมี พระกฤษณะขณะยังเป็นเด็ก "เราเลือกแบบที่มีผิวสีคล้ำ หรือซีด" นิลบอก เขาให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวแบบที่สุดในการนำเสนอภาพต่างๆ ให้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และเชื่อมโยงกับผู้คน ซึ่งสอดคล้องกับ ตัวแบบเองด้วย ในชุดภาพถ่ายของนิลนั้น เทพเจ้าแต่ละองค์จึงมีเฉดสีของผิวพรรณที่ เข้มกว่าที่พบทั่วไประหว่างการเฉลิมฉลอง อาทิ พระอิศวรผิวคล้ำปรากฏกายด้วยการทำสมาธิอย่างลึกล้ำ ขณะที่นางสีดาผิวสีกำลังผ่อนคลาย และมีความสุข ที่ได้ใช้เวลาส่วนตัวอยู่กับ พระมงกุฏ และพระลบ ลูกชายทั้ง 2 ของเธอ Devdutt Pattanaik นักเขียน และนักตำนานวิทยาเคยแสดงทัศนะว่า ความยึดติดที่มีต่อผิวอย่างอยุติธรรมนั้นอาจเป็นอาการเมาค้างในอดีตของสังคม โดยเนื้อหาบางส่วนในบทความที่ตีพิมพ์ในนิตยสารเวิร์ฟเขาระบุถึง การรุกยึดดินแดน ของชาวอารยันทางอินเดียตะวันตก เฉียงเหนือ ที่เป็นลุ่มน้ำอารยธรรมของชาวอินเดีย ตามมาด้วยการพิชิต แลได้ฆ่าฟันประชาชนผิวคล้ำที่ล้ำอารยธรรม และขับไล่คนเหล่านั้นลงสู่อินเดียทางใต้ ในขณะที่ก่อร่างสร้างตนในทางเหนือ ให้เป็นดินแดนของตน เมื่อเข้าครอบครอง ดินแดนได้แล้วอารยันได้จัดจำแนก ชนพื้นเมืองผิวคล้ำ หรือ ดราวิเดียน หรือ ฑราวิท ให้เป็นพวกศูทร หรือ ชนชั้นที่ไม่พึงสัมผัส (untouchable) เป็นชนชั้นน่ารังเกียจของสังคมอารยัน จัดตั้งชนชั้นของตนเป็นพราหมณ์ ชนชั้นพระหรือผู้ทรงความรู้ กษัตริย์ ชนชั้นนักรบ แ ละไวศยะ ชนชั้นธุรกิจ พราหมณ์เป็นชนชั้นมีอำนาจชอบธรรมสูงสุดเป็นที่เคารพนับถือของชนชั้นอื่น ชาวอารยันเทพอย่างอินทรานั้นเป็นคนผิวขาว แต่ในขณะเดียวกันก็มีความคลุมเครือเกี่ยวกับลักษณะของเทพเจ้าองค์อื่นๆ อาทิ พระอิศวรซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มบอกว่า เป็นเทพของชาว ดราวิเดียน หรือในกรณีของพระนารายณ์เป็นเทพของชาวอารยัน ซึ่งมีลักษณะ ผิวที่คล้ำ โครงการถ่ายภาพ The Dark is Divine เป็นสิ่งที่ Nil และ Sundar ได้พูดคุยกันเพียง 2-3 ครั้งในเดือนกันยายนและตัดสินใจว่าจะลองทำให้ภาพชุดนี้เกิดขึ้น "แน่นอนเราตระหนักว่า สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ฝังรากลึกกว่า ในเรื่องของความพึงพอใจต่อผิวที่เป็นมาตรฐานในสังคมของ และเรากำลังท้าทายความคิดร่วมกันของความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ ความคิดเพิ่มเติมเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันระหว่างการนำไปใช้ถ่ายทำ" เมื่อปี 2559 ได้มีงานเขียนเรื่อง India และ Colorism : The Finer Nuances โดย Neha Mishra ที่ตีพิมพ์ในการทบทวนกฎหมายศึกษาทั่วโลก ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซึ่งเนื้อหา ในบทความนั้นระบุถึง ชาวอินเดีย ส่วนใหญ่แสดงออกอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ การกีดกัน และการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐาน ของโทนสีผิวของบุคคล ถือเป็นการปฏิบัติที่มีปัญหาที่หยั่งรากลึกซึ่งทั้ง ผู้กดขี่ และผู้ถูกกระทำ แนวคิดนี้ได้ แพร่หลายไปทั่วอินเดียในช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมาจนกลายเป็นลักษณะแนวเดียวกับ "ความเป็นอาณานิคม" ของโลกตะวันตก อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของการ