Please use this identifier to cite or link to this item: https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3226
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.authorกรุงเทพธุรกิจ
dc.date.accessioned2019-08-05T01:38:35Z
dc.date.available2019-08-05T01:38:35Z
dc.date.issued2562-01-04
dc.identifier.urihttp://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3226
dc.identifier.urihttp://edu.iqnewsclip.com/newsservice.aspx
dc.description.abstractกรุงเทพธุรกิจ "ปัญหาของผู้ที่ใช้มือถือต่างคุ้นเคยและพบเจอเหมือนกันก็คือ ในแต่ละวันแบตจะไม่เคยพอใช้เลย จริงๆ มันเป็นปัญหาที่มีวิธีแก้ไขอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการชาร์ตที่ร้านกาแฟ บนรถ หรือพกพาวเวอร์แบงก์มาเอง แต่เรา ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเพราะมันยังไม่ ตอบโจทย์เรา" ปัญหา "แบตหมด" จึงเป็นที่มาของ "Lapis" (ลาพิส) ระบบเช่าพาวเวอร์แบงก์ให้สามารถยืมที่ไหนก็ได้ และคืนที่ไหนก็ได้ ภายใน 3 ขั้นตอน ก็คือ ดาวน์โหลดแอพ สแกนคิวอาร์โค้ด และนำเอาพาวเวอร์แบงก์ ไปใช้ Lapis ก่อตั้งโดยทีมนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้แก่ ศักดิ์สิทธิ์ เอกวัฒนกิจ,ยิ่งพิพัฒน์ แสนยากุล, วาทยากร จันทรัตน์ และปรีดาภรณ์ อัมพวา พวกเขาบอกว่า Lapis เป็นระบบ ที่มาแก้ไขปัญหาหนักอกเรื่องนี้ให้กับผู้ใช้มือถือ ซึ่งจะมีจุดเด่นตรงที่ลูกค้าสามารถยืมที่ไหนก็ได้ คืนที่ไหนก็ได้ ( Mobility ) นอกจากนี้ระบบยังสามารถคำนวณเวลา ที่แบตเตอรี่ของโทรศัพท์จะหมดได้ และ บอกได้ว่าเครื่องเช่าตรงไหนที่ใกล้ที่สุดได้อีกด้วย ไม่เพียงแค่การชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือ เพื่อแก้ปัญหาแบตหมดเท่านั้น แต่ทีมงานยังคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม เนื่องจากระบบเช่ายืมพาวเวอร์แบงก์ หมายถึงการเป็นตัวกลางที่จะช่วยลด พาวเวอร์แบงก์ส่วนบุคคลลงสิ่งที่จะ เกิดขึ้นตามมาก็คือจำนวนขยะอิเล็คทรอนิกส์ ที่จะเกิดขึ้นจากพาวเวอร์แบงก์ก็จะ ลดลงด้วย ต้องบอกว่าปัจจุบันพาวเวอร์แบงก์ กลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่แต่ละปี มีไม่ต่ำกว่า 1 พันตันเลยทีเดียว ด้วยแนวคิดที่โดดเด่นนี้ Lapis จึงได้รับการคัดเลือกเป็นทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของโครงการ Young Technopreneur (YTP) ปี 2018 "อาจสงสัยว่าระบบของเราจะมี คนใช้บริการจริง ๆหรือเปล่า ต้องบอกว่า ที่ผ่านมาเราได้ทดสอบตลาดที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพมาแล้วเป็นระยะเวลา 3 เดือน ด้วยการตั้งบูธเป็นจุดให้ยืม และคืน จำนวน 4 จุดทั่วมหาวิทยาลัย และ ผลลัพท์ที่ออกมาก็น่าพึงพอใจ เพราะจำนวนของการใช้งานภายในเดือนแรกมีอยู่ถึง 1,200 ครั้งเลยทีเดียว ทั้งยังเติบโตขึ้นในทุกๆ เดือน" พวกเขายังได้สำรวจความคิดเห็น ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ซึ่งพบว่ามีนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพมากกว่า 50% ที่ต้องการใช้บริการระบบ Lapis เนื่องจากมองว่าจะตอบโจทย์ชีวิตประจำวันได้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ระหว่างทดสอบทีมงาน Lapis ก็ได้เห็นถึงความท้าทาย คือ แม้ว่านักศึกษาที่สนใจใช้บริการจะมี จำนวนมากแต่การเปิดบูธบริการก็มีข้อจำกัด กล่าวคือ เปิดบริการได้เพียง 7-8 ชั่วโมง ต่อวันเท่านั้น นอกจากนั้นการใช้คนคีย์ข้อมูล เข้าระบบส่งผลให้การทำงานค่อนข้างช้า รวมถึงจุดบริการมีอยู่เฉพาะในรั้ว มหาวิทยาลัยกรุงเทพเท่านั้น ถือว่ายังไม่ครอบคลุม "ถ้าเราแก้ไขเรื่องพวกนี้ได้ทั้งหมด ถ้าเราทำงานได้ 24 ชั่วโมง มีจุดบริการที่ ค่อนข้างครอบคลุม ในการยืมและคืน พาวเวอร์แบงก์ก็จะใช้เวลาเพียง 3 วินาทีเท่านั้น พวกเราจึงพัฒนาโปรดักส์ขึ้นมา 2 อย่าง ก็คือ หนึ่ง ในส่วนของแมชชีน ที่จะเป็นตู้บริการซึ่งตั้งในจุดต่างๆ ทั้ง ทำหน้าที่เก็บ ชาร์ต และปล่อยพาวเวอร์แบงก์ ให้ลูกค้ามายืมและคืน สอง พัฒนาแอพ คอยที่จะช่วยในเรื่องของการค้นหา พื้นที่ บอกถึงระยะเวลาการยืม ช่องทาง การจ่ายเงิน" ลูกค้าของ Lapis สามารถยืม พาวเวอร์แบงก์เพื่อเอาไปใช้ที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้ตามต้องการ แค่สแกนคิวอาร์โค้ด คืนพาวเวอร์แบงก์และทำการชำระเงิน (พาวเวอร์แบงก์จะมีความจุ 5 พันแอมป์ สามารถใช้กับมือถือได้เฉลี่ย 2 ครั้ง) ซึ่งลูกค้าสามารถเอามาคืนและยืมต่อได้ โดยที่ไม่ต้องเริ่มโพรเซสใหม่ทั้งหมด และจะคืนที่ตู้ไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นตู้เดิม ทั้งนี้ระบบจะมีการทำงานอยู่ 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1.แอพพลิเคชั่น เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าสามารถทำการยืม-คืน ผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ด ทั้งยังมีฟังก์ชันในการคำนวณเวลาที่แบตเตอรี่จะหมด และสามารถ บอกได้ว่าเครื่องเช่าตรงไหนที่ใกล้ที่สุด และ 2.เครื่องเช่าพาวเวอร์แบงก์ที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ให้ลูกค้ามาเช่านำไปใช้งานและคืน สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะอยู่ ในกรุงเทพประมาณกว่า 3 ล้านคน (คิดเป็นอัตราประชากร 40%) และมี สถิติการใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน และจากที่ได้ลงไปตรวจสอบตลาด พวกเขาพบว่าผู้ใช้มือถือหนึ่งคนมี ค่าเฉลี่ยในการใช้แบตแต่ละครั้งประมาณ 15 บาทหรือคิดเป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมง นำไปสู่การคาดการณ์ถึงตัวเลขรายได้ ที่น่าจะแตะระดับ 375 ล้านบาทได้ภายในปี พ.ศ. 2566 โดยในปีแรกพวกเขามองว่าต้องมีการลงทุนเป็นจำนวนเงิน 7 ล้านบาท และมีลูกค้าใช้บริการ 6 แสน 5 หมื่นครั้ง ซึ่งจะหมายถึงรายได้ราว9.7 ล้านบาท จะสามารถคืนทุนภายในระยะเวลา 9 เดือน "ในปีแรกเราจะเน้นการสร้างระบบ มุ่งขั้นตอนของการเปลี่ยนพฤติกรรมคน ให้ชินกับบริการให้เช่าพาวเวอร์แบงก์ แต่จากนั้นเราจะเปลี่ยนบริการให้เช่า พาวเวอร์แบงก์ให้เป็นบริการชาร์ตไฟ ที่สามารถชาร์ตได้กับอุปกรณ์ทุกชนิด และขยายไปต่างประเทศ" แน่นอนว่าฟังๆ ดูแล้ว เหมือนเป็น ธุรกิจที่ใครๆ ก็ทำได้ ถามว่าทีมงานมีอะไรที่เก่งหรือเป็นอะไรที่เหนือเมฆกว่าคนอื่น พวกเขาบอกว่า ตลาดนี้มองดูแล้วมีคู่แข่งที่เป็นทางเลือกอื่นๆ เช่นการชาร์ตแบต ที่บ้าน ที่ร้านกาแฟ หรือบนรถ ทว่าแนวทาง ที่กล่าวมายังไม่ตอบโจทย์ เนื่องจากไม่ สามารถเคลื่อนที่ได้ แม้บางวิธีดูเหมือนว่าจะ เคลื่อนที่ได้แต่เจ้าของก็ต้องดูแลโทรศัพท์ จะชาร์ตทิ้งไว้แล้วไปไหนก็คงไม่ได้เพราะกลัวหาย "พวกเรามั่นใจว่าระบบของ Lapis มีความสะดวกสบายมากกว่า สิ่งที่จะ ทำให้เราเด่นกว่าคนอื่น คือหนึ่ง ระบบ ของเราคำนวนแบตเตอรี่มือถือได้ว่าใกล้จะหมดหรือยัง และจะแจ้งเตือนล่วงหน้า ก่อนที่แบตจะหมด สอง เรามีระบบ หลังบ้านที่ค่อนข้างมั่นคง ในเรื่องของ การขนส่งพาวเวอร์แบงก์แต่ละจุดบริการ จะไม่ให้ขาดหรือเกิน และเราจะมีการ ขยายตัวที่รวดเร็ว ทำให้คู่แข่งตามได้ยาก รวมถึงยังทำให้ลูกค้าเจอเราได้ทุกที่ สุดท้ายเพราะเรามีการทดสอบตลาดจริง ทำให้เข้าใจกลุ่มลูกค้าได้ค่อนข้างลึกซึ้ง" ถามว่า ระหว่างการจ่ายค่าบริการแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของ กับการไปซื้อพาวเวอร์แบงก์ มาใช้ เอาไปชาร์ตที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ลูกค้าน่าจะเลือกวิธีใด "ทำไมเขาต้องใช้บริการของเรา ถ้าดูเหมือนว่ามันสิ้นเปลืองกว่าการซื้อมาใช้เอง จริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่พวกเราสงสัยอยู่เหมือนกัน ซึ่งในช่วงที่ทำการทดลอง ก็พบว่าผู้ใช้บริการแค่คนเดียวกลับใช้งานเช่าพาวเวอร์แบงก์ของเราถึง 1,190 ชั่วโมง แน่นอนถ้าคำนวนเป็นจำนวนเงินค่าเช่าแล้ว เขาซื้อสามารถซื้อพาวเวอร์แบงก์ได้ประมาณ 5 เครื่อง แต่สุดท้ายแล้วคนมักจะมีเซนส์ในเรื่องของความสูญเสียน้อยถ้าเขาต้องจ่ายเงินค่าบริการแค่ครั้งละ 5 บาท 10 บาท หรือ 15 บาท" สิ่งที่น่าประหลาดใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ลูกค้าที่มาใช้บริการจริงๆ กลับไม่ใช่คนที่ มือถือแบตหมด เมื่อแบตหมดก็ค่อย มาเช่า แต่เป็นคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ หมดไปกับการเล่นมือถือและรู้ตัวว่า แบตกำลังใกล้จะหมด ที่มายืมก็เพราะมีความจำเป็นจะต้องใช้มือถือทำกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายในระหว่างวัน "คนมักจะมีเซนส์ ของความสูญเสียน้อยถ้าต้องจ่ายเงิน ค่าบริการแค่ครั้งละ 5 บาท 10 บาท หรือ 15 บาท"en_US
dc.description.sponsorshiplibrary.carit@mail.rmutk.ac.then_US
dc.language.isootheren_US
dc.publisherกรุงเทพธุรกิจen_US
dc.subjectกรุงเทพธุรกิจen_US
dc.subjectการศึกษาen_US
dc.title'Lapis'ทางออกของคน'แบตหมด'en_US
dc.typeOtheren_US
Appears in Collections:ข่าวการศึกษา

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
C-190104011092.pdf1.12 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.