Please use this identifier to cite or link to this item: https://dspace.rmutk.ac.th/jspui/handle/123456789/3213
Title: ภาษีเค็ม-หวานมาตรการสุขภาพเพื่ออนาคต
Authors: อรรถภูมิ, อองกุลนะ
Keywords: กรุงเทพธุรกิจ
การศึกษา
Issue Date: 3-Jan-2562
Publisher: กรุงเทพธุรกิจ
Abstract: จากภาษีความหวานถึงแนวทางภาษีความเค็ม นโยบายเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทย เมื่อกันยายน 2560 กรมสรรพสามิตได้ประกาศอัตราภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ถัดจากนั้นราวๆปีครึ่ง สังคมก็เริ่ม พูดถึงแนวทางจัดเก็บภาษีอาหารที่มีความเค็มและความมัน (ภาษีความเค็ม) ซึ่งแปรผันตามปริมาณโซเดียม ในส่วนประกอบ อย่างที่รู้กัน นอกจากความหวานแล้วก็เป็นความเค็มนี่แหละ ที่เป็นรสชาติที่คนไทยติดปาก โดยผลสำรวจระบุว่า ในเมนูอาหารที่คนไทยรับประทานแต่ละวัน มีปริมาณโซเดียมสูงเกินกว่าค่ากำหนดขององค์การอนามัยโลกถึง 2 เท่า หรือประมาณ 4,350 มิลลิกรัมต่อวัน ขณะเดียวกันอาหารยอดฮิตที่ขายตามสตรีทฟู้ด, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็ล้วนเต็มไปด้วยโซเดียม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ถึงเวลาเลิกเค็ม ถ้าที่ผ่านมาเราเคยได้ยินการบริโภคน้ำตาลที่เรียกว่า 'เพชฌฆาตรสหวาน' แล้วถึงคราวที่เราต้องตระหนักถึงตัวการก่อโรคที่ชื่อ 'เพชรฆาตรสเค็ม' กันบ้าง ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ อาจารย์สาขาวิชาโรคไต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีและประธานเครือข่าย ลดบริโภคเค็ม บอกว่า โรคเค็มเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอันตรายอย่าง ความดันโลหิตไต หัวใจ อัมพาตและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนในระยะยาว กลุ่มโรคที่เกิดจากการบริโภคเค็ม นั้นสูงถึง ห้าหมื่นถึงแสนล้านบาทต่อปี เหตุนี้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องใช้มาตรการเก็บภาษีเพื่อเป็นตัวเริ่มให้คนไทยหันมาตระหนักถึงการบริโภคซึ่งเป็นต้นทาง ของการดูแลสุขภาพ "แนวคิดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอาหารตามปริมาณความเค็ม และปริมาณไขมัน จะยึดแนวทางเดียวกับภาษีความหวานที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน เน้นเก็บจากอาหารที่มีคนบริโภคมากๆ มีการผลิตเป็นอุตสาหกรรม สินค้าที่เป็นบรรจุหีบห่อ มีการระบุปริมาณโซเดียมชัดเจน อาทิ อาหาร ขนมขบเคี้ยว ที่มีความเค็มสูง บะหมี่กึ่งสำเร็จที่ปริมาณโซเดียมสูงกว่าความต้องการของร่างกาย 2-3 เท่า โจ๊ก ซุปก้อน ขนมกรุบกรอบที่มีความเค็ม" จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยโรคNCDs มาจากผู้ที่มีฐานะยากจน เพราะมีทางเลือกน้อยและ ส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำจึงไม่มีเวลาศึกษาข้อมูล การสร้างมาตรการภาษีจึงมีเพื่อปกป้องกลุ่มคนเหล่านี้โดยทำให้อาหารดีต่อสุขภาพราคาถูกกว่าสินค้าที่ทำลายสุขภาพ "ขณะเดียวกันมาตรการต่างๆ อาจจะไม่ได้รวมถึงร้านอาหารรายย่อย เนื่องจากเป็นสิทธิของประชาชนที่จะเลือกรับประทานได้และสูตรของแต่ละร้าน เราเพียงแต่สร้างทางเลือกให้ ผู้บริโภคได้ตัดสินใจ แนวทางนี้มองว่า เหมาะสมเพราะประชาชน และภาคอุตสาหกรรมจะสามารถปรับตัวได้ และโดยรวมแล้วประเทศจะได้ประโยชน์" ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าวและว่า ทั้งนี้ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกในประเทศฮังการี พบว่าหลังจากมีการเก็บภาษีความเค็ม ในบางผลิตภัณฑ์ที่มีเกลือสูงมาก พบว่าประชาชนก็หันมากินเค็มน้อยลง เพราะอาหารที่มีความเค็มน้อยก็จะไม่ต้องเสียภาษี จากกฎหมายสู่พฤติกรรม ภาษีความเค็มได้ต้นแบบมาจากการเก็บภาษีความหวาน ถึงเช่นนั้นเมื่อมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้แล้ว เรายังก็ต้องมีแนวทางอื่นร่วมขับเคลื่อน เพื่อให้นิสัยการบริโภคสำเร็จเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ในฐานะประธานเครือข่ายคนไทยไม่กินหวาน มองว่า ความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นในช่วงรอบปีที่ผ่านมา คือหนึ่ง ในความสำเร็จของการเคลื่อนไหว เกิดเป็นกระแสการรักสุขภาพ การออกผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มาแรง ได้แก่ เครื่องดื่มสูตรน้ำตาลน้อยหรือไม่ใส่เลยอาหารไขมันต่ำ ไม่มีคอเลสเตอรอล ผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันหรือช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ซึ่งทั้งหมด นับเป็นผลดีต่อตัวผู้บริโภค ที่มีทางเลือกในการบริโภคเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น "เราให้ความรู้มานับสิบๆ ปี ทำให้เกิดกระแสสังคม เกิดการรณรงค์ที่ต้องเปลี่ยนแปลงจากต้นทาง เพราะเมื่อต้นทุนของวัตถุดิบที่ทำลายสุขภาพแพงขึ้นผลิตภัณฑ์ก็จะแพงขึ้นตาม และผู้บริโภคจะเริ่มออกว่าสิ่งเหล่านี้คือความสิ้นเปลือง ไม่มีความจำเป็นกับชีวิต มันจึงเป็นการสร้างพฤติกรรมทางอ้อมวิธีหนึ่ง" แน่นอนว่าการขึ้นภาษีเป็นเพียง ส่วนหนึ่ง และสิ่งที่สังคมไทยต้องการคือการสร้างพฤติกรรมถาวร ในการลด ละ เลิก การบริโภคอาหาร ไม่ว่าจะเป็นความหวานหรือความเค็ม โจทย์ต่อไปจากนี้ คือขยายของเขตจากเครื่องดื่มพร้อมดื่ม เป็นการรณรงค์ในขอบข่ายใหม่ที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านน้ำ ร้านกาแฟ ร้านขนม เช่น ให้มีการปรับสูตรเครื่องดื่มใหม่ คงรสชาติแต่ลดจำนวนน้ำตาลลง การลดขนาดเครื่องดื่มเพื่อสร้างทางเลือก เปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคจากวันละมากๆ ค่อยๆ ลดน้อย และบริโภคเท่าที่จำเป็นในที่สุด พร้อมกันนั้นเครือข่ายยังร่วมมือ กับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำ สัญลักษณ์โภชนาการ "ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice)" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์อาหารนั้นได้ผ่านเกณฑ์การพิจารณาแล้วว่ามีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และเกลือ (โซเดียม) ที่เหมาะสม ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การรณรงค์เรื่องลดบริโภคหวานที่เครือข่ายทำมานานนับสิบปี กับการ จุดประกายให้ผู้บริโรคเห็นแก่พิษภัยของ ความเค็มจึงไม่สูญเปล่า อย่างน้อยๆ เร็วๆนี้ เราก็น่าจะมีความชัดเจนเรื่องมาตรการภาษีอาหารที่มีความเค็มต่อจากภาษี น้ำหวานที่เริ่มส่งผลดีต่อพฤติกรรมการบริโภค ปรับเปลี่ยนมาตรฐานการบริโภคที่เคยผิดทิศ ผิดทาง ให้กลับมาพอดีแบบที่มาตรฐานคนไทยควรจะเป็น
URI: http://dspace.rmutk.ac.th/handle/123456789/3213
http://edu.iqnewsclip.com/newsservice.aspx
Appears in Collections:ข่าวการศึกษา

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
C-190103011097.pdf1.38 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.