ประหาร3นศ.รุมฆ่าคู่อริ

Abstract

ศาลอาญา - ศาลสั่งประหาร 3 นศ.เทคโนปทุมวันร่วมกันฆ่านักศึกษาคู่อริ ปรานีลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต ชดใช้เงิน 4 ล้านให้ครอบครัวผู้ตาย ส่วนคดีรับน้องโหดรอลงอาญา-คุมประพฤติ ที่ห้องพิจารณาคดี 710 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ศาลมีคำพิพากษาคดีความผิดต่อชีวิตที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา และนางเตือนจิตต์ วิริยารัมภะ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุทธินันท์ หรือตู๋ หวังหอมกลาง อายุ 23 ปี นายมงคล หรือเหยิน ศรีพูล อายุ 25 ปี และนายชาตรี หรือปิ๊ก จูวรรณะ อายุ 26 ปี นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง กระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 30 พ.ย.49 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค.49 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด .38 ม.ม. และอาวุธมีด ยิง-แทงนายเบญจพล หรือโต้ง วิริยารัมภะ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย จนถึงแก่ความตาย ภายในซอยลาดพร้าว 126 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. ต่อมาวันที่ 7 ก.ย.49 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วังทองหลาง ติดตามจับกุมตัวจำเลยทั้งสามได้ตามหมายจับของศาลอาญา พร้อมอาวุธปืนและของกลางอีกหลายรายการ ทั้งนี้นางเตือนจิตต์มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอให้พวกจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วม พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องรวมเป็นเงิน 4,326,500 บาท ชั้นสอบสวนพวกจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธในชั้นศาล โดยอ้างสถานที่อยู่ เหตุที่ยอมรับสารภาพ เพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้าย ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่าพยานโจทก์หลายปากเบิกความสอดคล้องแสดงถึงพฤติการณ์ของพวกจำเลย โดยจำเลยที่ 3 ขี่รถจักรยานยนต์มา มีจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้าย และใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 2-3 นัดล้มลง ส่วนจำเลยที่ 2 กับพวกขี่รถจักรยานยนต์ตามมาก็ใช้ปืนยิงผู้ตายอีก 6 นัด และเห็นนายเอ ไม่ทราบนามสกุล ใช้มีดแทงตามร่างกายผู้ตายหลายครั้ง อีกทั้งชั้นสอบสวนพวกจำเลยก็ให้การรับสารภาพถึงรายละเอียด นำชี้ที่เกิดเหตุ พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าพวกจำเลยร่วมกันฆ่าผู้ตายจริง ข้ออ้างจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาฐานฆ่าผู้อื่นให้ลงโทษประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 2 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะ จำคุกคนละ 1 ปี และฐานพกพาอาวุธมีด ปรับคนละ 90 บาท จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกพวกจำเลยตลอดชีวิต, จำคุก 1 ปี, จำคุก 8 เดือน และปรับ 60 บาท ตามลำดับ แต่เนื่องจากศาลได้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามไว้ตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจจำคุกความผิดฐานอื่นได้ คงจำคุกจำเลยทั้งสามไว้ตลอดชีวิต ปรับคนละ 60 บาท ริบของกลาง และเห็นสมควรให้พวกจำเลยร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วมตามที่ร้องขอด้วย วันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณาคดี 20 ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลแขวงพระนครใต้ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายโอภาส หรือโอม ทิมคลองธรรม อายุ 20 ปี, นายมานพ หรือนพ เกิดศิริ อายุ 20 ปี และนายกีรติ หรือต้อม เริงอาจ อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจ กรณีจำเลยร่วมกันจัดกิจกรรมรับน้องใหม่ของสถาบันด้วยวิธีรุนแรงโดยใช้สีสเปรย์ฉีดพ่นรูปกงจักรบนแผ่นหลังของนายสุรเดช สุวรรณรัตน์ อายุ 20 ปี นักศึกษารุ่นน้องชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเดียวกัน แล้วใช้ไฟแช็กจุดไฟเผาจนเป็นแผลพุพอง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา คดีนี้จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติทำการสืบเสาะประวัติความตั้งใจทางการศึกษา ความรับผิดชอบต่อสังคม และการดูแลครอบครัวของผู้ปกครอง ตลอดจนภาวะแห่งจิต ความสำนึกจำเลยทั้งสามก่อนมีคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากรายงานที่พนักงานคุมประพฤติได้สืบเสาะพบจำเลยทั้ง 3 คนประวัติครอบครัวและการเรียนดี อีกทั้งหลังเกิดเหตุได้พยายามบรรเทาผลร้าย ด้วยการประพฤติตัวทำประโยชน์ต่อสังคม มีความสำนึกผิด ศาลให้โอกาสกลับตัว จึงจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี และให้มารายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้งต่อ 1 ปี.