คอลัมน์ มองบ้านมองเมือง: นักธุรกิจหญิง ชื่อ นางลิ้นจี่
Abstract
ปริญญา ตรีน้อยใส
มองบ้านมองเมืองฉบับนี้ ไม่ได้ไปมองไหนไกล แค่ถนนนางลิ้นจี่ ที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน
นามถนนนี้ แปลกกว่านามถนนอื่นในกรุงเทพฯ เพราะเป็นชื่อบ้านบ้าน ซึ่งโดยทั่วไป นามแบบนี้จะเป็นได้แค่ระดับซอยเท่านั้น
แต่ถนนนางลิ้นจี่ กว้างขวาง ใหญ่โตกว่าซอยที่ไปเชื่อมต่อ ไม่ว่าจะเป็นซอยพระพินิจ ซอยสวนพลู หรือแม้แต่ถนนจันทน์ และถนนอาคารสงเคราะห์
สำหรับคนนอกพื้นที่ ต้องไม่รู้จักถนนนางลิ้นจี่ เพราะบนถนนสายนี้ไม่มีศูนย์การค้า แม้แต่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ (ชื่อเดิม) หรือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (ชื่อใหม่) ยังเปลี่ยนหน้าบ้านไปด้านถนนนราธิวาสราชนครินทร์แทน
ถนนนางลิ้นจี่ เป็นเสมือนถนนภายในที่ไปเชื่อมต่อถนนสายหลักๆ อย่างเช่น เชื่อมต่อกับซอยสวนพลู ที่ออกไปถนนสาทร ถนนอาคารสงเคราะห์ ที่ออกไปถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ถนนเย็นอากาศ ที่ออกไปถนนพระราม 4 ถนนจันทน์เก่า และถนนจันทน์ตัดใหม่ ที่ออกไปถนนเจริญกรุง รวมทั้งที่ถนนพระราม 3 ตรงวัดช่องลม ออกไปที่ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งกลายเป็นทางลัดสำหรับคนที่ต้องการหนีรถติด
บังเอิญเพิ่งไปรู้มาว่า นางลิ้นจี่เป็นใคร ทำไมถึงมาเป็นชื่อถนน จึงขออนุญาตเล่าสู่กันฟัง
ถ้าพูดภาษาสมัยนี้ นางลิ้นจี่ คงเป็นถึงดีเวลลอปเปอร์ หรือนักธุรกิจระดับแนวหน้า แต่เมื่อเป็นสมัยก่อน นางลิ้นจี่จึงเป็นเพียงคหปตานี ที่เริ่มต้นจากชาวบ้านย่านนครชัยศรี อาจเป็นลูกหลานเจ้าของโรงงานหีบอ้อย เพราะเกิดที่ตำบลหีบอ้อย ในช่วงต้นรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวง คือ พ.ศ.2415
ต่อมาได้ติดตามบิดามารดามาอยู่กรุงเทพฯ และสมรสกับนายเชย ชยากร พ่อค้าในตลาดสามเสน เมื่อครั้งที่สามีประมูลได้เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย ที่จังหวัดอยุธยา และโรงต้มกลั่นสุรา มณฑลราชบุรี นางลิ้นจี่ผู้เป็นภริยา ก็ได้รวมแรงช่วยเหลือในกิจการ
ดังนั้น เมื่อนายเชยถึงแก่กรรม นางลิ้นจี่จึงรับเป็นนายอากรสุราแทนสามี ดูแลกิจการต่อมา จนเมื่อรัฐบาลยึดไปดำเนินการเอง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
ในระหว่างที่ดำเนินกิจการสุรานั้น นางลิ้นจี่ยังเปิดกิจการโฮเตลรมณีย์ ตรงถนนบรรทัดทอง โรงแรมที่ทันสมัยสุดๆ ในเวลานั้น เพราะมีทั้งไนต์คลับ สถานลีลาศ และลานเล่นสเก๊ต
นางลิ้นจี่ยังขยายกิจการไปทำป่าไม้ในเพชรบุรี ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนพัฒนาที่ดินผืนใหญ่บริเวณทุ่งมหาเมฆ ไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา โดยได้รับพระบรมราชานุญาต ซื้อสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุ ในปี พ.ศ.2474
นางลิ้นจี่คงอาศัยต้นแบบจากโครงการถนนสาทร ถนนสุรวงศ์ และถนนสี่พระยา ที่ใช้วิธีตัดถนน เปิดพื้นที่ แบ่งขายที่ดิน หารายได้เป็นกอบเป็นกำ
นางลิ้นจี่จึงวางแผนตัดถนนสายหลัก มีคลองคู่ขนานที่จะไปเชื่อมต่อกับถนนสาทร ที่จะต่อเนื่องกับถนนคอนแวนต์ ไม่ถึงถนนสีลมย่านธุรกิจสำคัญในเวลานั้น
แต่ทว่าถนนนางลิ้นจี่ ไม่ได้ไปถึงถนนสาทร เพราะเจ้าของที่ดินบางแปลงไม่ยอมขาย จึงไปได้สุดแค่ซอยสวนพลูเท่านั้น และน่าจะทำให้โครงการพัฒนาพื้นที่ทุ่งมหาเมฆของนางลิ้นจี่ ไม่ประสบความสำเร็จตามแผน
เนื่องจากไม่มีบันทึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่ในบันทึกชีวิตบอกว่า หลังจากนั้น นางลิ้นจี่ได้หวนกลับไปทำนา จนถึงแก่กรรมเมื่อมีอายุได้ 87 ปี
อยากส่งเรื่องนี้ให้กับสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (สสธวท.) เพราะนางลิ้นจี่น่าจะเป็นสตรีคนแรกๆ ของไทย ที่เป็นทั้งเจ้าของโรงแรม โรงบ่อน และกิจการสุรา นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์